VAT: ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร รวมทุกเรื่องต้องรู้ ฉบับสมบูรณ์ อัปเดตใหม่

VAT คืออะไร ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ใครมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง รู้จักกับภาษีซื้อ ภาษีขายและวิธีการบันทึกบัญชี พร้อมตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจการคำนวณ VAT มากขึ้น แล้วมีรายการใดบ้างที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม มีเครื่องมือใดที่ช่วยให้คุณบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

บทความนี้รวบรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับ VAT ไว้อย่างละเอียด เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เลย

หมายเหตุ: บทความนี้มีต้นฉบับเขียนโดยคุณหนอม TaxBugnoms เผยแพร่บน FlowAccount ตั้งแต่ปี 2020 เราได้เข้ามารีไรท์และเรียบเรียงใหม่ให้เป็นเวอร์ชันอัปเดตล่าสุด ที่ละเอียดกว่าเดิมมาให้คุณแล้ว

 

สรุป 9 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม / VAT คืออะไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเรียกย่อๆ ว่า VAT คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเรียกเก็บจากมูลค่าสินค้าและบริการที่มีการซื้อขายในประเทศและการนำเข้าสินค้า โดยปัจจุบันจะถูกจัดเก็บอยู่ที่ 7% เพื่อยื่นหรือส่งมอบภาษีให้แก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยนอกจากยื่นและจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีและจัดทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย ไม่ว่าจะต้องชำระภาษีหรือไม่ก็ตาม

 

ใครบ้างที่ต้องจด VAT / จดภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

  1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
  • ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน

 

  1. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ได้มีการดำเนินการ และเตรียมการประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้า หรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างอาคารสำนักงาน หรือการติดตั้งเครื่องจักร
  • ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายในกำหนด 6 เดือน ก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ เว้นแต่มีสัญญาหรือหลักฐานจะดำเนินการก่อสร้าง ภายในเวลาที่เหมาะสม

 

  1. ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระ โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร
  • ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน

 

  1. จดเมื่ออยากจด

การจด VAT เราไม่จำเป็นต้องเข้าข่าย 3 ข้อด้านบนก็จดได้ ถ้ากิจการเราประกอบธุรกิจที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีความต้องการใช้ภาษีซื้อเพื่อมาหักจากยอดภาษีขาย การจดยิ่งไวยิ่งดี แต่ถ้าไม่ได้รีบมาก เราจะถูกกฎหมายบังคับให้จดเมื่อมีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทในระหว่างปี ถ้าปีไหนถึงเกณฑ์นี้ แปลว่าเรามีภาระหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันที หรือเกณฑ์อื่นๆ ตามที่ระบุไว้ด้านบน

 

ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายๆ บริษัทที่จด VAT เอง ก็อยากทำมาค้าขายกับบริษัทที่จด VAT ด้วยกัน จะได้เคลมภาษีขายได้ (อ่านต่อในหัวข้อ จดแล้วต้องทำอะไรบ้าง) หลายๆ ครั้งที่เราติดต่องานกับบริษัทต่างๆ เขาก็มักจะมีขอใบ ภ.พ.20 หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้วยนั่นเอง

ใบ ภ.พ.20 หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

ธุรกิจอะไรได้รับยกเว้น ไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง

รายการที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสรรพากรตามกฎหมายมี 5 ข้อดังต่อไปนี้ (แต่มีสิทธิแจ้งขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหากต้องการ)

  1. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
  2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
  3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
  4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
  5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร


สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

ถ้าไม่ได้รับการยกเว้น แต่ไม่จด จะโดนปรับเท่าไหร่

การไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์นั้น มีความผิดตามกฎหมายหากถูกตรวจสอบพบ นอกจากภาษีที่ต้องชำระแล้ว ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ต้องจ่ายเบี้ยปรับ (มากที่สุดคือ 2 เท่าของภาษีที่ชำระ) และ เงินเพิ่ม (1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ) อีกด้วย

 

รายได้ 1.8 ล้าน นับยังไง แบบไหนเข้าข่ายต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม

นับเฉพาะรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

หลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีรายได้ 2 ประเภท นั่นคือ รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กับ รายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การนับยอด 1.8 ล้านบาท จะนับเมื่อมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวมแล้วเกิน 1.8 ล้านบาท โดยไม่นับยอดของรายได้ที่ได้รับยกเว้น

ยกตัวอย่างเช่น นาย A มนุษย์เงินเดือนมีรายได้ปีละ 2 ล้านบาท (รายได้ที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม) และมีรายได้จากการขายอาหารออนไลน์จำนวน 1 ล้านบาท (รายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) แบบนี้นาย A เลือกที่จะจดหรือไม่จดก็ได้ เพราะยังมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

แต่ถ้ารายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันแล้วถึง 1.8 ล้านบาท แบบนี้ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้อง

บุคคลธรรมดาก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ในกรณีของภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมองตามการประกอบการของผู้ประกอบการรายนั้นๆ โดยไม่ได้สนใจรูปแบบของธุรกิจ ดังนั้น ไม่ว่าธุรกิจจะดำเนินในรูปแบบเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ก็มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

 

นับคนเดียว หรือนับสามีภรรยาด้วย กรณีร่วมด้วยช่วยกัน?

การนับรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะนับรวมในรูปแบบของการประกอบการ คือ ถ้าการประกอบการนั้นเกิดร่วมกัน เช่น สามีภรรยาช่วยกันประกอบธุรกิจขายอาหารออนไลน์ แบบนี้จะนับรายได้ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันจากการประกอบกิจการนี้ว่าถึง 1.8 ล้านบาทไหม ถ้ายังไม่ถึงก็เลือกที่จะไม่จดได้

ซึ่งในกรณีของสามีภรรยา รายได้ในส่วนนี้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังสามารถใช้สิทธิแยกยื่นหรือแบ่งรายได้กันได้ เพราะเป็นภาษีคนละประเภทกัน

 

มีหลายสาขา นับรวม หรือนับแยก?

การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดูเป็นการประกอบการ ถ้าหลายสาขาที่ว่าเป็นชื่อของเราก็ถือว่าเป็นกิจการเดียวกัน ดังนั้นก็นับยอดรวม

แต่ถ้าแต่ละสาขามีคนรับผิดชอบหรือเจ้าของต่างกันไป อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาขาไหนจะยอดถึงเกณฑ์ที่ต้องจด (สำคัญตรงนิยามคำว่า ผู้ประกอบการ)

 

จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ไหน

 

การจดทะเบียนทุกวันนี้สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ ติดต่อผ่านทางสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือ จดทะเบียนผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากรที่หน้า บริการ VAT SBT ONLINE

 

ถ้าวันหนึ่งอยากออกจากระบบต้องทำยังไง 

การออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะสามารถออกได้เมื่อมีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี โดยสามารถไปจดทะเบียนขอออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยแบบ ภ.พ.08 คำขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือดาวน์โหลดไฟล์จากลิงค์นี้ได้ http://download.rd.go.th/fileadmin/tax_pdf/request/PP08_140355.pdf

 

จด VAT แล้วต้องทำอะไรบ้าง

หลังจากจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่หลักๆ ดังต่อไปนี้

ใบกำกับภาษี

  1. จัดทำใบกำกับภาษี โดยออกทุกครั้งเมื่อขายสินค้าหรือให้บริการ และเกิดจุดความรับผิดทางด้านภาษี เช่น ขายสินค้า ออกเมื่อมีการส่งมอบสินค้า (ใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี) หรือ บริการ ออกเมื่อมีการรับชำระเงิน (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน) เป็นต้น
  2. จัดทำรายงานที่เกี่ยวข้อง รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และ รายงานสินค้าคงเหลือและวัตถุดิบ 
  3. นำยอดภาษีขาย (ที่เราออก) มาหักด้วยภาษีซื้อ (ที่จ่ายไป) และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แบบ ภ.พ. 30 ในทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (อาจมีขยายเวลาบางกรณี) ซึ่งสามารถดูได้จากปฏิทินภาษีอากร ซึ่งจะมีลิงก์ให้เพิ่มเข้าไปใน Google Calendar ของคุณได้อีกด้วย

ในส่วนของการทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ FlowAccount ดาวน์โหลดรายงานทั้งสองนี้ออกมา เพื่อเป็นข้อมูลในการนำส่งแบบยื่นภาษี ภ.พ.30 ให้กับกรมสรรพากรได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น

  • บริษัท ขายดีมีกำไร จำกัด มีการซื้อสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 1 รายการในราคา 100,000 บาท (ยอดรวมภาษี 107,000 บาท)
  • และขายสินค้าตัวนี้ออกไปให้กับ บริษัท รับซื้อทุกอย่าง จำกัด ในราคา 200,000 บาท (ยอดรวมภาษี 214,000 บาท)

ดังนั้นสิ่งที่บริษัท ขายดีมีกำไร จำกัด ต้องทำคือ

  1. ขอใบกำกับภาษี (ตอนซื้อ)
  2. ออกใบกำกับภาษี (ตอนขาย)
  3. และจัดทำรายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

หลังจากนั้นนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 14,000 (ภาษีซื้อ) ลบกับ 7,000 (ภาษีขาย) เหลือ 7,000 บาท นำส่งให้แก่กรมสรรพากร

 

ตัวอย่างการคำนวณ VAT เพิ่มเติม

จะเห็นว่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะคำนวณยังไง เราต้องทำความเข้าใจ “ภาษีซื้อ” และ “ภาษีขาย“ ก่อน เพราะยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องยื่นแก่สรรพากรนั้นคำนวณจาก

การคำนวณ VAT

การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม

การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

บริหารภาษีมูลค่าเพิ่มยังไงดี


จากตัวอย่างก่อนหน้านี้ ที่ภาษีซื้อ > ภาษีขาย ไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม เราจะมีสิทธิเลือกได้ว่า ยอดที่จ่ายเกินจะขอคืน “ทันที” ในเดือนนั้น หรือจะ “พันยอด”

ซึ่งการพันยอด หมายถึง ยกยอดเครดิตไปใช้ในเดือนต่อๆ ไป เพื่อให้ลดยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายลง เช่น เดือนนี้ยกยอด 7,000 บาทไปใช้ในเดือนหน้า ถ้าหากเดือนหน้าต้องยื่นนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 10,000 บาทก็จะนำยอด 7,000 ที่ค้างไว้มาหัก และเหลือนำส่งแค่ 3,000 บาทนั่นเอง

 

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพันยอดภาษีซื้อได้ ที่นี่

 

พอเป็นแบบนี้ก็เลยมีหลายๆ คนมักจะแนะนำว่า ถ้าไม่อยากเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเยอะๆ เราก็แค่ทำให้ภาษีซื้อมันเยอะๆ สิ แต่วิธีการแบบนี้ หากไม่ใช่ภาษีซื้อจากการประกอบกิจการจริงๆ ก็คงไม่ดีแน่ เพราะการซื้อสินค้าและนำใบกำกับภาษีซื้อที่เป็นค่าใช้จ่ายเข้ามามากๆ นั้น อาจจะทำให้ “ต้นทุน” และ “ค่าใช้จ่าย” ไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจจริง รวมถึงอาจกลายเป็นภาษีซื้อ “ต้องห้าม” ที่ไม่สามารถขอคืนภาษีได้อีกด้วย (เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ) สุดท้ายกลายเป็นว่าธุรกิจต้องมาจ่ายเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากการนำส่งข้อมูลผิดพลาดอีกหลายต่อเสียด้วยซ้ำ (รู้สึกตัวอีกที สรรพากรก็เข้ามาเยี่ยมเยียนถึงออฟฟิศซะแล้ว)

ตั้งราคารวม VAT ยังไงดี

 

ตั้งราคารวม VAT ไม่รวม VAT ยังไงดี เป็นอีกหนึ่งความถามยอดฮิตอีกข้อ แต่ด้วยความที่บทความนี้ค่อนข้างยาวมากแล้ว ใครสนใจประเด็นนี้ต่อ สามารถตามอ่านต่อได้ที่บทความถัดไป เทคนิคการตั้งราคา VAT

 

สรุป

 

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการ และนักบัญชีต้องดูแลและจัดการ 

 

เริ่มต้นบริหารภาษีมูลค่าเพิ่มครบวงจรด้วย FlowAccount จบทั้งลูป VAT ตั้งแต่การบันทึกค่าใช้จ่าย ภาษีซื้อภาษีขาย แนบไฟล์ใบกำกับเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการยื่นแบบ ภ.พ.30 จนไปถึงช่วยออกรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายตามสรรพากรกำหนด ทำให้นักบัญชีไม่ต้องมาจัดทำรายงานภาษีขายซ้ำซ้อนด้วยการดึงข้อมูลอัตโนมัติ

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ