คนเดียวทำหลายอาชีพมีทั้งเงินเดือนและขายสินค้า ต้องจัดการภาษีอย่างไร

ภาษีคนเดียวทำหลายอาชีพ

ยิ่งมีรายได้หลายทางมากเท่าใดก็ต้องยิ่งสนใจเรื่องภาษีมากขึ้นเท่านั้น เพราะจากเดิมที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ยื่นภาษีง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเท่าไรนัก กลับกลายเป็นว่าต้องคอยกังวลภาษีที่ต้องเสียเพิ่มอีก ถ้าใครเป็นแบบนี้อยู่เรามีเทคนิคดีๆ สำหรับการจัดการภาษีส่วนบุคคลมาแบ่งปันค่ะ

ในยุคที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ทุกวัน การมีรายได้ทางเดียวนั้นอาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไป ทุกวันนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะ ว่าทำไมพวกเราจึงควรมีรายได้มากกว่า 1 ทางนอกเหนือจากงานประจำ 

 

แต่รู้มั้ยคะว่า ยิ่งมีรายได้หลายทางมากเท่าใด เราก็ต้องยิ่งสนใจเรื่องภาษีมากขึ้นเท่านั้น เพราะจากเดิมที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ยื่นภาษีง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเท่าไรนัก กลับกลายเป็นว่าต้องคอยกังวลเรื่องกำไรขาดทุน รวมทั้งภาษีที่ต้องเสีย ถ้าใครเป็นแบบนี้อยู่เรามีเทคนิคดีๆ สำหรับการจัดการภาษีส่วนบุคคลมาแบ่งปันค่ะ

 

 

ทำงานมีรายได้ต้องเก็บข้อมูลอะไรบ้าง

 

ถ้าทำงานประจำและมีรายได้ทางอื่นด้วย สิ่งที่ต้องทำก็คือ การเก็บข้อมูลเงินได้ของตัวเองไว้ให้ดี เพราะนี่ส่งผลถึงการคำนวณกำไรจากธุรกิจ รวมไปถึงการยื่นภาษีบุคคลธรรมดาด้วยค่ะ

วิธีการเก็บข้อมูลที่ดีที่สุด ก็คือ การจดรายรับของตัวเองไว้เสมอ

 

และถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น ควรจะจดข้อมูลรายจ่ายของตัวเองไว้ด้วย และอย่าลืมแนบเอกสารใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐาน

 

FlowAccount ช่วยให้มนุษย์เงินเดือน มีรายได้หลายทางจดบัญชีรายรับ-รายจ่ายได้ง่ายๆ แบบออนไลน์ ทดลองใช้งานฟรี 30 วันได้ที่นี่

 

 

ประเภทเงินได้ และการหักค่าใช้จ่าย เป็นอย่างไรบ้าง 

 

ก่อนจะไปเริ่มต้นจัดการภาษี เรามาทำความเข้าใจกันสักนิดว่ารายได้แต่ละประเภทนั้นมีอะไรบ้าง จากตัวอย่างของนายพากเพียรดีกว่าค่ะ

 

นายพากเพียร เป็นโสด มีรายได้จากเงินเดือนประจำตำแหน่งกราฟิกดีไซเนอร์ เดือนละ 30,000 บาท 

ช่วงเวลาหลังเลิกงาน นายพากเพียรรับจ๊อบพิเศษทำกราฟิกให้บริษัทพี่ชาย ได้ครั้งละ 5,000 บาทต่องาน ทั้งปีได้ 50,000 บาท 

 

นายพากเพียรมีแผนจะแต่งงานในอีกสองปีข้างหน้าจึงต้องหาเงินเพิ่มวันเสาร์อาทิตย์ เลยเปิดร้านขายของเล่นออนไลน์ด้วย ได้เงินมาปีละ 100,000 บาท

 

จากตัวอย่างนี้เรามาวิเคราะห์กันเลยค่ะว่ารายได้ทั้งหมดของนายพากเพียรนั้นเป็นรายได้ประเภทใดบ้าง และหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เท่าใด

 

วิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่ายจากกรณีตัวอย่าง

 

ส่วนด้านล่างนี้เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับเงินได้แต่ละประเภทค่ะ 

 

เงินได้ประเภท 40(1) คือ เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส จากการทำงานประจำ พูดง่ายๆ ก็คือ เงินได้ของมนุษย์เงินเดือนค่ะ

 

เงินได้ประเภท 40(2) คือ เงินได้จากการรับจ้างทั่วไป รับงานอิสระ ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนจากการทำงาน โดยไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายลูกน้อง เงินได้ตัวนี้เป็นเงินได้จากการรับจ้างทำงานพิเศษ เช่น เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วรับจ้างทำงานกราฟิกให้ลูกค้านอกเวลา เงินได้จากการทำงานกราฟิกนอกเวลานี้ ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(2)

 

เงินได้ประเภท 40(8) คือ เงินได้ที่ไม่ใช่ 40(1) – 40(7) เป็นเงินได้จากธุรกิจการ พาณิชย์, การเกษตร, การอุตสาหกรรม, การขนส่ง ฯลฯ เช่น ขายก๋วยเตี๋ยว, โอเลี้ยง, โรงแรม, ภัตตาคาร, โรงพิมพ์, โรงกลึง, สีข้าว, ฆ่าสัตว์, โรงโม่ ,ตัดเย็บเสื้อผ้า, ตัดผมเสริมสวย รวมไปถึง นักร้องนักแสดง

 

 

ทางเลือกในการยื่นภาษี คนโสด และสมรสแล้ว 

 

สำหรับทางเลือกในการยื่นภาษีนั้น เราสามารถเลือกได้ 3 รูปแบบถ้ามีคู่สมรสดังนี้

  1. คนโสด ยื่นปกติไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร
  2. คู่สมรส

ทางเลือกในการยื่นภาษีกรณีมีคู่สมรส

 

 

 

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 

 

ถัดมาเรามาดูตัวอย่างวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันค่ะ 

 

พื้นฐานเบื้องต้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคำนวณได้จากสมการนี้

เงินได้สุทธิ = รายได้ - ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี

 

จากตัวอย่างของนายพากเพียร เราลองมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเขากัน 

 

 

หาเงินได้สุทธิ

 

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

 

 

คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

 

เริ่มต้นเรามาดูอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก่อน เนื่องจากมีความพิเศษตรงที่เป็นอัตราภาษีแบบขั้นบันได หมายถึง ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเงินได้สุทธิสูงขึ้นตามนี้

 

 

อัตราภาษีแบบขั้นบันได

 

สำหรับนายพากเพียร อัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 5% ดังนั้น คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ = (150,000 ยกเว้น) + (140,000x5%) = 7,000 บาท

 

 

ข้อควรทราบเพิ่มเติม 

 

บุคคลธรรมดาถ้ารายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

 

นอกจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เราทำความเข้าใจกันไปแล้ว ยังมีภาษีอีก 1 ตัวที่เรียกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม 

 

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ทำงานรับจ้าง 40(2) และขายของ 40(8) นั้น ต้องเช็กอยู่เสมอว่ารายได้ของเราเข้าเกณฑ์จดทะเบียนภาษีมูลเพิ่มไหม โดยดูจาก

  • ประเภทรายได้ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และ
  • รายได้รวมตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป 

 

รายได้ประเภท 40(8) จากการขายของ สามารถเลือกได้ว่าจะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% หรือว่าตามจริง 

 

ทั้งนี้สำหรับการหักค่าใช้จ่ายแบบตามจริงนั้น ควรใช้ในกรณีที่ต้นทุนสินค้ามีมากกว่า 60% เพราะว่าเราจะประหยัดภาษีได้มากกว่า แต่ข้อแม้ก็คือว่า จะต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และมีหลักฐานเอกสารเก็บไว้ด้วยค่ะ

 

ดังนั้นถ้าวันนี้ใครมีรายได้หลายทาง อย่าลืมเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลให้ดี ทำความเข้าใจเรื่องภาษีให้แม่นตามที่เราแนะนำ และทุกคนจะพบว่า “การมีรายได้หลายทางไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอีกต่อไป”

About Author

ลองใช้งานFlowAccount ฟรี 30 วันได้ง่ายๆ วันนี้
ลองใช้งานฟรีได้ง่ายๆ วันนี้
สมัครเลย

You may also like