อ่านสั้นๆ:
- งบการเงิน เป็นบัญชีที่นักบัญชีต้องทำปีละ 2 ครั้ง เพื่อนำส่งภาษีครึ่งปี และภาษีเงินได้แบบเต็มปี
- การทำงบการเงินมีความสำคัญต่อเจ้าของธุรกิจที่จะต้องทำให้ทันเวลาต่อการตัดสินใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีข้อมูลทางการเงินที่ช่วยวางแผนธุรกิจได้อย่างถูกต้อง
- นักบัญชีสามารถใช้โปรแกรมบัญชีช่วยปิดงบและจัดการและรายการ Daily Operation ได้โดยอัตโนมัติ หากมีการทำเอกสารผ่านระบบอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับนักบัญชี การปิดงบการเงินนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าคุณทำบัญชีให้ถูกต้องอย่างเป็นระบบนะครับ
ตาม พ.ร.บ. การบัญชี และประมวลรัษฎากร อย่างน้อยต้องปิดงบการเงินปีละ 2 ครั้ง เพื่อนำส่งภาษีครึ่งปี และภาษีเงินได้แบบเต็มปี
แล้วปิดงบใครได้ประโยชน์? หลักๆ แล้ว งบการเงินจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจเห็นตัวเลขของกิจการว่าปีนี้มีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจวางแผนธุรกิจ และวางแผนภาษีอากร
ลองอ่านบทความ “ปิดงบการเงิน เจ้าของธุรกิจได้รู้อะไรเมื่อสิ้นรอบบัญชี” ที่เล่าถึงสิ่งที่เจ้าของกิจการจะได้ประโยชน์เพิ่มเติมนะครับ
ถ้างบการเงินมีประโยชน์ขนาดนี้ นักบัญชีจึงจำเป็นต้องทำงบให้เจ้าของธุรกิจได้ทันเวลาก่อนที่จะใช้ในการตัดสินใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีข้อมูลทางการเงินที่ช่วยวางแผนได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น การเห็นงบการเงินเพียงปีละครั้งย่อมไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจได้
อย่างที่ผมชอบพูดบ่อยๆ ชอบทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วง่ายคืออะไร ง่ายของผมคือ ไม่ต้องทำ ให้ระบบทำงานให้แทน แต่ก่อนที่จะให้ระบบทำงานแทน เราเองก็ต้องทราบกระบวนการก่อนจริงไหมครับ
เลือกอ่านได้เลย!
ทำความเข้าใจการทำงบการเงินเบื้องต้น
ก่อนที่นักบัญชีจะให้โปรแกรมบัญชีทำงานแทน เราก็ต้องทราบกระบวนการกันก่อนนะครับ
การปิดงบการเงินคือการทำรายงานผลการดำเนินการของบริษัท ประกอบด้วยรายงานต่างๆ คือ
- งบกำไรขาดทุน
- งบแสดงฐานะการเงิน
- งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น
- และหมายเหตุงบการเงิน (ถ้าคุณทำกิจการที่มีคำว่า “มหาชน” ต้องทำงบกระแสเงินสดเพิ่มด้วยนะครับ)
กระบวนการทำงบการเงินทั้งหมด โปรแกรมบัญชีจะทำในส่วนงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงินให้นะครับ ส่วนงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นและงบกระแสเงินสด นักบัญชีจะต้องเป็นคนทำให้
- รวบรวมเอกสารรายการค้า (รายได้-รายจ่าย) - เก็บเอกสารทางการเงินของกิจการทั้งหมด เรียงตามวันที่เกิดรายการ แยกตามหมวดหมู่ให้เรียบร้อย
- ทำบัญชีแยกประเภท - เป็นการรวบรวมการบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นไว้เป็นหมวดหมู่ แล้วจัดเรียงลำดับผังบัญชีของกิจการ
- ทำงบทดลอง - จัดทำงบทดลองเพื่อให้เห็นยอดคงเหลือของแต่ละบัญชี และใช้เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเลข
- ปรับปรุงบัญชีค้างรับ ค้างจ่าย และค่าเสื่อมราคา - ลงบัญชีที่ยังค้างอยู่ให้ครบเรียบร้อย โดยเฉพาะบัญชีค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ยค้างรับ เป็นต้น
- ปิดบัญชีสินค้าคงเหลือเข้าบัญชีต้นทุนสินค้าขาย - นำยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ โอนเข้าบัญชีต้นทุนสินค้าขาย
- ปิดบัญชีรายได้ ค่าใช้จ่าย ต้นทุนสินค้าขาย เข้างบกำไรขาดทุน - นำรายได้ ค่าใช้จ่าย ต้นทุนสินค้าขายของกิจการมากระทบกัน เพื่อหายอดกำไรขาดทุน จะได้ทราบกำไรของกิจการ
- งบแสดงฐานะการเงิน - แสดงยอดคงเหลือของกิจการว่าสรุปแล้วมีเงินสดเท่าไหร่ ลูกหนี้เท่าไหร่ สินค้าที่มีไว้ขายอีกมากน้อยแค่ไหน และหนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระอีกเท่าไหร่
จะเห็นว่ามีกระบวนการทั้งหมด 7 ขั้นตอน โดยกระบวนการที่ 4 และ 5 จะต้องใช้กระบวนการด้านบัญชีในการคำนวณมูลค่า นอกนั้นโปรแกรมบัญชีช่วยทำให้หมดแล้วครับ
ผลจากการปิดงบการเงิน
ในมุมมองของเจ้าของธุรกิจ งบการเงินจะต้องทำให้รู้ว่า เมื่อเอาตัวเลขรายได้เทียบกับรายจ่ายแล้ว ธุรกิจจะมีเงินสดเหลือมากน้อยแค่ไหน มีเงินสดคงเหลือเพิ่มขึ้น หรือลดลงในแต่ละปีที่มาจากการทำธุรกิจของเรา
และถ้ามองไปล่วงหน้าแล้วเห็นว่าเงินไม่พอ ก็จะได้เตรียมตัววางแผนทางการเงินเนิ่นๆ ก่อนนะครับ
เครื่องมือช่วยปิดงบการเงิน
กลับมาที่การหาเครื่องมือมาช่วยปิดงบการเงินกันครับ เราสามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยในการปิดงบการเงิน และรายการ Daily Operation ได้โดยอัตโนมัติ หากมีการทำเอกสารผ่านระบบอย่างสม่ำเสมอ
ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถรู้ผลการดำเนินงานได้ตลอดเวลาทันที ลองดูงบการเงินจาก FlowAccount ในเมนูบริหารบัญชี
เมื่อเข้ามาที่เมนูย่อย รายงานด้านบัญชี จะสามารถเรียกดูรายงานประเภทต่างๆ ของงบการเงิน ซึ่งจะให้ข้อมูลเบื้องต้นที่เพียงพอต่อการนำไปใช้ในการพิจารณาได้ทันที
อย่างในภาพ ผมเรียกดูงบกำไรขาดทุน แค่นี้ก็ตอบได้แล้วว่า กิจการมีรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลกำไรสุทธิเป็นจำนวนเท่าไหร่
Note:
รายงานของงบการเงินจะมีจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจที่ทำ
ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นธุรกิจให้บริการ ซึ่งมีลักษณะธุรกิจซับซ้อนน้อยกว่าธุรกิจซื้อมาขายไป ดังนั้นส่วนประกอบในงบการเงิน เริ่มจากงบกำไรขาดทุนก็จะสั้นกว่าถ้าเทียบกับธุรกิจซื้อขาย เพราะมีสินค้าคงเหลือ
ส่วนธุรกิจซื้อขายจะต้องมีรายงานสินค้าคงเหลือ (Stock Card) และต้นทุนสินค้าขาย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการซื้อขาย
และธุรกิจผลิตสินค้าขาย จะมีต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มเข้ามา ดังนั้นจะต้องมีการทำรายงานวัตถุดิบเพิ่ม และหากกรณีสินค้ายังผลิตไม่เสร็จ มูลค่าที่เกี่ยวข้องก็ต้องนำมารายงานในงบการเงินด้วย
เพื่อความเข้าใจง่าย สรุปได้คร่าวๆ ดังตาราง
จะเห็นได้ว่าจากตาราง งบการเงิน ของแต่ละประเภทของธุรกิจจะมีสาระสำคัญที่ไม่เท่ากันนะครับ ดังนั้น กระบวนการด้านเอกสารเพื่อให้ได้ข้อมูลมาแสดงของในแต่ละประเภทของกิจการก็จะไม่เท่ากันนะครับ |
About Author
Course Director บริษัท FlowAccount และวิทยากรให้กับ DBD และ KBank เคยเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษีอากรจาก Big4 และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัย มีประสบการณ์ถ่ายทอดเทคนิคการทำธุรกิจอย่างถูกต้องให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมานานกว่า 10 ปี