ภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร มีเงินให้กู้ยืมกรรมการต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไหม

ภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร มีเงินให้กู้ยืมกรรมการต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไหม

เปิดบริษัททำธุรกิจมาสักพัก วันดีคืนดีนักบัญชีมาบอกว่า “นายคะ บริษัทมีเงินให้กู้ยืมกรรมการ ปีนี้อย่าลืมจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะนะคะ เดี๋ยวจะโดนค่าปรับ” ทำให้เจ้าของธุรกิจอย่างเราสงสัยว่า “เราก็พอมีความรู้เรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล กับภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้ว แค่นี้ยังไม่พออีกหรอ” แล้วภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร ทำไมยืมเงินบริษัทแล้วต้องมีภาษีนี้ด้วย วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันค่ะ บอกใบ้ว่าถ้าใครกำลังคิดจะยืมเงินบริษัทล่ะก็ ห้ามพลาดเลยล่ะ

ภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร

 

ภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บจากกิจการประเภทพิเศษ ซึ่งมีที่มาของรายได้แตกต่างจากกิจการอื่น ๆ ที่ได้รายรับมาจากการซื้อขายสินค้าและบริการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกเก็บแทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิกไปเมื่อปี พ.ศ. 2535 และเก็บแยกต่างหากจากภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

กิจการประเภทไหนต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะบ้าง

 

กิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะให้กรมสรรพากรมี 6 ประเภทกิจการหลักๆ ด้วยกัน ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นกิจการที่ได้รายรับขั้นสุดท้ายมาจากวงเงินกู้ ดอกเบี้ย ค่าเบี้ยประกัน มูลค่าที่ดิน รวมถึงแหล่งที่มาของรายได้อื่น ๆ ซึ่งประมวลรัษฎากรเห็นว่า คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ยากค่ะ

ลองมาดูกันค่ะว่ากิจการเหล่านี้มีอะไรบ้าง

 

กิจการประเภทไหนต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะบ้าง

  1.   การธนาคาร 
  2.   การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
  3.   การรับประกันชีวิต 
  4.   การรับจำนำ
  5.   การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์เช่น การให้กู้ยืมเงินค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่าง ๆ
  6.   การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรที่ต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ดังต่อไปนี้
    (1)   การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน
    (2)   การขายห้องชุดของผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุด
    (3)   การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อขาย รวมถึงการขายที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว
    (4)   การขายอสังหริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) หรือ (3) เฉพาะกรณีที่มีการแบ่งขาย หรือแบ่งแยกไว้เพื่อขาย โดยได้จัดทำถนนหรือสิ่งสาธารณูปโภคอื่น หรือให้คำสั่งว่าจะจัดให้มีสิ่งดังกล่าว
    (5)   การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการเฉพาะของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล องค์การของรัฐบาล สหกรณ์ และองค์กรอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นนิติบุคคล
    (6)   การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มา
    (7)   การขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์
    (8)   การประกอบกิจการอื่น ตามกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

เพราะฉะนั้น หากกิจการไหนเข้าข่ายว่าจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ และเสียภาษีธุรกิจเฉพาะให้เรียบร้อยด้วยค่ะ

 

มีบัญชีเงินให้กู้ยืมกรรมการ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่

 

จากที่อธิบายไปข้างต้น เจ้าของธุรกิจหลายคนคงสงสัยว่า อ่าว แล้วถ้าเราไม่ได้ทำธุรกิจข้างบนนี้เป็นธุรกิจหลัก และไม่ได้จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ว่ามีเงินให้กรรมการหรือเจ้าของบริษัทกู้ยืม จะเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วยหรือไม่

 

แม้ว่ากิจการไม่ได้จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ถ้าบริษัทให้กรรมการกู้ยืมเงิน ซึ่งแน่นอนว่าปกติแล้วต้องมีบัญชีเงินให้กู้ยืมกรรมการเป็นสินทรัพย์ในงบการเงิน เมื่อมีเงินต้นแล้ว โดยทั่วไปต้องมีการคิดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยนี่แหละค่ะถือเป็นการหารายได้ในลักษณะคล้ายการปล่อยเงินกู้ จึงเข้าข่ายเป็นการประกอบกิจการที่ทำธุรกรรมเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

ทีนี้น่าจะมีคำถามต่อเนื่องว่า แล้วถ้าบริษัทให้กู้ยืมเงินเฉยๆ แต่ไม่ได้คิดดอกเบี้ย ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะก็ได้ไหมนะ?

 

คำตอบก็คือ มันอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว หากบริษัทให้กู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดต่ำกว่าราคาตลาด เวลายื่นภาษีก็ต้องบวกดอกเบี้ยนี้ไปเป็นรายได้ให้เท่ากับราคาตลาด 

ผลพวงที่ตามมาก็คือ บริษัทก็ต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยรับอยู่ดี

 

เงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยรับ คำนวณอย่างไร?

 

ในการคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะของกิจการที่ให้เงินกู้ยืมกรรมการนั้น เราจะคำนวณจาก “ดอกเบี้ย” ที่กิจการได้รับค่ะ ลองมาดูวิธีการคำนวณในแต่ละขั้นกัน

อันดับแรกเราต้องคำนวณดอกเบี้ยรับทั้งหมดออกมาให้ได้ก่อน โดยใช้สูตร

 

การคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะของกิจการที่ให้เงินกู้ยืมกรรมการ

 

เมื่อได้ดอกเบี้ยรับมาแล้ว ให้นำตัวเลขมาคำนวณเพื่อหาตัวเลขของภาษีธุรกิจเฉพาะที่ต้องชำระให้กรมสรรพากรต่อค่ะ โดยใช้สูตร

 

ตัวเลขของภาษีธุรกิจเฉพาะที่ต้องชำระ

 

ทั้งนี้ มีข้อระวัง ก็คือ ตอนทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างกันจะคิดดอกเบี้ยหรือไม่คิดก็ได้ แต่เมื่อยื่นภาษีต้องคำนวณจากดอกเบี้ยรับที่ใช้อัตราไม่ต่ำกว่าอัตราตลาดนะคะ ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้ อย่าลืมให้นักบัญชีช่วยเช็กและคำนวณให้ก่อนเสียภาษีนะคะ

 

ตัวอย่างการคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

  1. ตัวอย่าง 1 — ทำสัญญากู้ยืมชัดเจน อัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าราคาตลาด
    • เงินให้กู้ 475,000 บาท ดอกเบี้ย 2 % ต่อปี → ดอกเบี้ยรับ 9,500 บาท
    • ภาษีธุรกิจเฉพาะ = 9,500 × 3 % = 285 บาท
    • ภาษีท้องถิ่น = 285 × 10 % = 28.50 บาท
    • ภาษีที่ต้องจ่ายรวม 313.50 บาท
  2. ตัวอย่าง 2 — ไม่มีสัญญา บริษัทมีเงินกู้จากธนาคารด้วย กรมสรรพากรปรับดอกเบี้ยเป็นราคาตลาด
    • เงินให้กู้ 4,000,000 บาท
    • กิจการมีต้นทุนกู้แบงก์ 6.50 % → สรรพากรใช้ 6.50 % เป็นฐานดอกเบี้ย (ถือว่าเอาเงินกู้จากธนาคารไปให้กรรมการกู้ต่อ)
    • ดอกเบี้ยรับตามราคาตลาด = 260,000 บาท
    • ภาษีธุรกิจเฉพาะ = 260,000 × 3 % = 7,800 บาท
    • ภาษีท้องถิ่น = 7,800 × 10 % = 780 บาท
    • ภาษีที่ต้องจ่ายรวม 8,580 บาท

 

ต้องยื่นแบบภาษีธุรกิจเฉพาะภายในเมื่อไร?

 

ลำดับแรก กรณีที่กิจการทำธุรกิจให้กู้ยืมเป็นธุรกิจปกติ ต้องขอยื่นแบบฟอร์ม ภ.ธ. 01 ภายใน 30 วัน นับแต่เริ่มประกอบกิจการ เพื่อขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะกับกรมสรรพากร แต่ถ้าอีกกรณีหนึ่งก็คือ กิจการให้กู้เงินเป็นครั้งคราวแก่กรรมการ ไม่ใช่ธุรกิจประจำ ไม่ต้องยื่นจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะค่ะ แต่ก็ต้องยื่นภาษีในเดือนที่ได้รับดอกเบี้ยอยู่ดี

 

การยื่นภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีได้รับดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการ ต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 เมื่อได้รับดอกเบี้ยหรือพึงได้รับดอกเบี้ย ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และชำระภาษีกับสำนักงานสรรพากรให้เรียบร้อย

 

ถ้ายื่นชำระภาษีเกินกำหนด จะถูกปรับและเสียเงินเพิ่ม 1.5 % ต่อเดือนของภาษีขาดส่งนะคะ

 

สรุป

 

กรณีบริษัทมีเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการ ถือว่าเข้าข่ายประกอบธุรกิจเยี่ยงธนาคาร ต้องจ่ายภาษีเงินได้ธุรกิจเฉพาะด้วยนะคะ โดยบริษัทต้องยื่นแบบภาษี ภธ.40 นำส่งภายใน 15 วันของเดือนถัดไป 

กรณีที่ไม่ได้คิดดอกเบี้ยระหว่างกัน หรือคิดต่ำกว่าราคาตลาด ในทางกฎหมายแล้ว เราต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะจากฐานดอกเบี้ยรับไม่ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งข้อนี้สามารถขอคำปรึกษาจากนักบัญชีให้ช่วยคำนวณและนำส่งภาษีได้ค่ะ

ดังนั้น ก่อนที่กรรมการจะตัดสินใจยืมเงินจากบริษัท อย่าลืมย้อนกลับมาเช็กเรื่องภาษีธุรกิจเฉพาะให้ชัวร์ๆ ด้วยนะคะ จะได้ไม่ตกใจถ้าต้องจ่ายภาษีชื่อแปลกๆ ว่า “ภาษีธุรกิจเฉพาะ” ในภายหลัง

 

Q&A: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

  1. ภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร?
    ภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ภาษีที่เก็บจากกิจการเฉพาะ เช่น ธนาคาร ประกันชีวิต โรงรับจำนำ การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้
  2. ถ้าบริษัทให้กรรมการกู้ยืมเงิน ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไหม?
    ต้องเสียค่ะ เพราะถือว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินเหมือนธนาคารพาณิชย์ และดอกเบี้ยที่ได้รับต้องนำมาคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ แม้บริษัทจะไม่ได้จดทะเบียนเป็นธุรกิจเงินกู้ก็ตาม
  3. ถ้าให้กรรมการกู้โดยไม่คิดดอกเบี้ย จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไหม?
    ต้องเสีย เพราะกรมสรรพากรจะถือว่าต้องมีดอกเบี้ยรับในอัตราตลาดอยู่ดี และให้นำดอกเบี้ยตามราคาตลาดมาคำนวณภาษี
  4. ภาษีธุรกิจเฉพาะคิดยังไง?
    คำนวณจากดอกเบี้ยรับ × [อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% + ภาษีท้องถิ่น 10% ของภาษีธุรกิจเฉพาะ] เช่น ถ้าดอกเบี้ยรับ 10,000 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะจะประมาณ 330 บาท
  5. ต้องยื่นแบบภาษีธุรกิจเฉพาะเมื่อไร?
    ต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปหลังจากได้รับหรือพึงได้รับดอกเบี้ย หากยื่นช้าจะมีค่าปรับและเงินเพิ่ม

About Author

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ