โครงสร้างองค์กร คืออะไร ? มีกี่แบบ สำคัญอย่างไรกับการสร้างธุรกิจ

โครงสร้างองค์กร คือ

โครงสร้างองค์กร (Organizational Structure) คือหัวใจสำคัญของการจัดการทรัพยากรบุคคล เพราะเป็นเครื่องมือกำหนดบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ และสายการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ทุกคนในทีมเข้าใจเป้าหมายและทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ดังนั้นการมี โครงสร้างองค์กร หรือ โครงสร้างบริษัทที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบและทำให้เห็นภาพรวมการทำงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของบริษัท เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า โครงสร้างองค์กร คืออะไร มีอะไรบ้าง และแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร FlowAccount จะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในบทความนี้

เลือกอ่านได้เลย!

โครงสร้างองค์กร คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ

โครงสร้างองค์กร คือ แผนผังที่แสดงความสัมพันธ์ของการจัดระเบียบภายในบริษัท ทั้งในด้านตำแหน่งงาน บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ และสายการบังคับบัญชา โดยมักนำเสนอในรูปแบบชั้น ที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างบุคลากรแต่ละระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ

 

โดยโครงสร้างองค์กร หรือ โครงสร้างบริษัท มีเป้าหมายเพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยให้พนักงานมองเห็นเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) อย่างชัดเจน และยังช่วยในการวางแผนพัฒนาบุคลากร (Training Roadmap) รวมไปถึงการจัดการเงินเดือน (Payroll) ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน


โครงสร้างองค์กร ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง ?

การออกแบบผังโครงสร้างองค์กรที่ดีจำเป็นต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญหลายประการ หากจะตอบคำถามว่า โครงสร้างองค์กร มีอะไรบ้าง โดยพื้นฐานแล้วจะประกอบไปด้วยปัจจัยหลักดังต่อไปนี้

 

  • เป้าหมายและทิศทางขององค์กร (Objective) - โครงสร้างที่ดีต้องเริ่มต้นจากการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรและทิศทางการดำเนินงานทั้งหมดสอดคล้องและมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
  • ลำดับขั้นการบังคับบัญชา (Chain of Command) - หมายถึงเส้นสายของอำนาจที่ไล่เรียงจากตำแหน่งสูงสุดลงมาสู่ระดับล่างสุดในองค์กร ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าใครต้องรายงานต่อใคร และช่วยให้การสื่อสารและการตัดสินใจเป็นไปตามลำดับขั้น
  • ระดับชั้นของตำแหน่งงาน (Levels) - คือการจำแนกโครงสร้างในแนวตั้ง โดยแบ่งตำแหน่งต่าง ๆ ออกเป็นระดับชั้นที่ชัดเจน ตั้งแต่ฝ่ายบริหารระดับสูง ผู้จัดการ ไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ เพื่อแสดงถึงความแตกต่างของอำนาจและหน้าที่
  • ขอบเขตการควบคุมดูแล (Span of Control) - ปัจจัยนี้จะกำหนดว่าผู้จัดการหนึ่งคนมีขอบเขตความรับผิดชอบในการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนกี่คน หากกว้างเกินไปอาจทำให้การดูแลไม่ทั่วถึงและขาดประสิทธิภาพ
  • ความเป็นเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Command) - หลักการที่ว่าด้วยพนักงานแต่ละคนควรมีผู้บังคับบัญชาโดยตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนจากการได้รับคำสั่งที่ขัดแย้งกัน และทำให้การมอบหมายงานมีความชัดเจน

โครงสร้างองค์กร แบ่งได้เป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ? 

ในปัจจุบันมีตัวอย่าง โครงสร้างองค์กรหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาให้สอดรับกับลักษณะการดำเนินงานที่หลากหลาย โดย FlowAccount จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 ประเภทของโครงสร้างองค์กร ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุด และแนะนำววิธีในการออกแบบผังโครงสร้างองค์กรให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ


1. โครงสร้างองค์กรแบบลำดับขั้น (Hierarchical Structure)

โครงสร้างองค์กรแบบลำดับขั้น คือรูปแบบโครงสร้างองค์กรที่พบได้มากที่สุด โดยมีการจัดเรียงตำแหน่งงานตามลำดับชั้นจากบนลงล่างอย่างชัดเจน เช่น ผู้บริหารระดับสูง, Supervisor, หัวหน้างาน และพนักงานระดับปฏิบัติการ ซึ่งการสื่อสารและการตัดสินใจจะไหลลงจากระดับบนไปสู่ระดับล่าง (Top-down Hierarchy) เหมาะกับองค์กรที่มีขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ เช่น บริษัทเอกชนขนาดใหญ่, หน่วยงานราชการ, โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือองค์กรแบบดั้งเดิม


โครงสร้างองค์กรแบบลำดับขั้น

 

  • ข้อดี : มีความชัดเจนเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบ, สะดวกต่อการควบคุมและบริหารจัดการ และมีการตัดสินใจเป็นไปตามลำดับขั้น 
  • ข้อเสีย : มีความเป็นระบบราชการ (Bureaucracy) สูง อาจทำให้การตัดสินใจล่าช้า เนื่องจากต้องผ่านการอนุมัติหลายระดับชั้น ขาดความยืดหยุ่น และไม่เหมาะกับงานที่ต้องมีการปรับตัวที่รวดเร็ว รวมถึงทำให้พนักงานระดับล่างอาจไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

2. โครงสร้างองค์กรตามหน้าที่ (Functional Structure)

โครงสร้างองค์กรตามหน้าที่ คือตัวอย่างโครงสร้างองค์กร ที่มีการแบ่งแผนกตาม "หน้าที่งาน" เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี และฝ่ายทรัพยากรบุคคล แต่ละแผนกจะมีผู้จัดการดูแล และพนักงานจะรายงานตรงตามสายงานของตนเอง 


โครงสร้างองค์กรตามหน้าที่

 

  • ข้อดี : ช่วยให้แต่ละแผนกพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้ดี, มีการควบคุมภายในที่เป็นระบบ และง่ายต่อการประเมินผลแต่ละแผนก 
  • ข้อเสีย : อาจเกิดการทำงานที่แยกส่วนกันเกินไป การสื่อสารระหว่างแผนกไม่ราบรื่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจะทำได้ยากเนื่องจากขาดความยืดหยุ่น จึงเหมาะกับองค์กรที่มีสายงานเฉพาะ และต้องการเสริมสร้างความสามารถเฉพาะด้านของทีม

3. โครงสร้างองค์กรแบบแนวนอนหรือแบน (Horizontal/Flat Structure)

โครงสร้างองค์กรแนวนอนหรือแบน คือรูปแบบผังองค์กรที่ลดลำดับขั้นในการบริหาร มีหัวหน้าเพียงไม่กี่ระดับ โดยพนักงานสามารถตัดสินใจหรือเสนอความคิดเห็นได้โดยตรง เหมาะกับบริษัทสมัยใหม่ เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพหรือองค์กรที่เน้นความคล่องตัวในการทำงานสูง


โครงสร้างองค์กรแบบแนวนอนหรือแบน

 

  • ข้อดี : มีการสื่อสารที่รวดเร็วและวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน แต่ก็ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรับผิดชอบและการบริหารตัวเองสูง 
  • ข้อเสีย : จะควบคุมพนักงานได้ยากหากองค์กรเติบโตเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ซึ่งผู้นำอาจต้องดูแลหลายอย่างพร้อมกัน ทำให้บริหารงานได้ยากขึ้น

4. โครงสร้างองค์กรแบบทีมงาน (Team-based Structure)

โครงสร้างองค์กรแบบทีมงาน คือโครงสร้างองค์กรที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมข้ามสายงาน เช่น ทีมพัฒนาโปรเจกต์ที่มีทั้งฝ่ายไอที การตลาด และการออกแบบมาทำงานร่วมกัน การจัดทีมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะของโครงการ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น และต้องการใช้ทักษะจากหลายฝ่ายในการแก้ไขปัญหา


โครงสร้างองค์กรแบบทีมงาน

  • ข้อดี : มีความร่วมมือและการสื่อสารที่เปิดกว้าง ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกแต่ต้องมีผู้นำทีมที่สามารถประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความยืดหยุ่นและการปรับตัวให้เข้าได้ดีกับแต่ละโครงการ ทำให้พนักงานเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่หลากหลาย 
  • ข้อเสีย : อาจเกิดความซ้ำซ้อนของบทบาทหากไม่มีการจัดการที่ดี จึงจำเป็นต้องการผู้นำทีมที่มีทักษะในการประสานงานสูง ซึ่งหากใช้โครงสร้างบริษัทรูปแบบนี้ ผลที่ตามมาอีกประการคือ การประเมินผลงานเป็นรายบุคคลทำได้ยากเนื่องจากทุกคนทำงานในรูปแบบของทีม

5. โครงสร้างองค์กรแบบแมททริกซ์ (Matrix Structure)

โครงสร้างองค์กรแบบแมททริกซ์ คือผังโครงสร้างองค์กรที่รวมข้อดีของ "โครงสร้างตามหน้าที่ (Functional Structure)" และ "โครงสร้างตามแผนกหรือโครงการ (Divisional Structure)" เข้าไว้ด้วยกัน โดยพนักงานอาจต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา 2 คน เช่น ผู้จัดการสายงาน และผู้จัดการโครงการ เหมาะกับองค์กรที่มีโครงการหลายโปรเจกต์ และต้องการการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่ายในเวลาเดียวกัน แม้จะมีความซับซ้อนในการบริหารจัดการ แต่ช่วยให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 โครงสร้างองค์กรแบบแมททริกซ์

 

  • ข้อดี : ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรข้ามฝ่าย สนับสนุนการทำงานแบบยืดหยุ่นและตอบสนองต่อโครงการต่าง ๆ ทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานที่ทุกคนในองค์กรสามารถร่วมงานกันได้  
  • ข้อเสีย : พนักงานเกิดความสับสนจากการมีหัวหน้าหลายสาย เกิดความขัดแย้งด้านการรายงานและการจัดลำดับอำนาจตามความสำคัญ ทำให้ทีม HR และ C-Level ต้องใช้ความสามารถในการบริหารการทำงานเยอะ

6. โครงสร้างองค์กรแบบเครือข่าย (Network Structure)

โครงสร้างองค์กรแบบเครือข่าย คือผังองค์กรที่เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เน้นการเชื่อมต่อกันระหว่างทีมหลักกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก พาร์ตเนอร์ หรือสำนักงานย่อยที่อาจอยู่ต่างที่กัน การทำงานจะอาศัยเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud System) เป็นตัวกลางในการประสานงานเช่น Google Workspace ซึ่งเหมาะกับองค์กรที่มีลักษณะ Global 


โครงสร้างองค์กรแบบเครือข่าย

  • ข้อดี : มีความยืดหยุ่นสูง และลดต้นทุนในการบริหารจัดการ สามารถเข้าถึงทรัพยากรภายนอกได้หลากหลาย เหมาะกับองค์กรดิจิทัลและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว 
  • ข้อเสีย : ยากต่อการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งความสัมพันธ์กับพันธมิตรภายนอกอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพภายในองค์กรได้

7. โครงสร้างองค์กรตามแผนก (Divisional Structure)

โครงสร้างองค์กรนี้เหมาะกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสายธุรกิจหลากหลาย เช่น บริษัทที่มีหลายผลิตภัณฑ์ หลายกลุ่มลูกค้า หรือดำเนินงานในหลายภูมิภาค แต่ละแผนกจะทำงานเสมือนเป็นองค์กรย่อย มีฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต และฝ่ายสนับสนุนของตนเอง 


โครงสร้างองค์กรตามแผนก

 

  • ข้อดี : ให้ความยืดหยุ่นสูงในการบริหารตามกลุ่มธุรกิจหรือพื้นที่ แต่เป็นการบริหารจัดการที่เน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนหรือใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น มีการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้นเพราะมีทีมบริหารแยกในแต่ละแผนก ทำให้สามารถวัดผลสำเร็จของแต่ละ Business Unit ได้ชัดเจน 
  • ข้อเสีย : มีต้นทุนซ้ำซ้อน เช่น อาจมีฝ่ายบัญชีหรือทรัพยากรบุคคลหลายทีม การประสานงานระหว่างแผนกอาจเป็นเรื่องยาก อาจเกิดการแข่งขันภายในระหว่างแผนก

เมื่อองค์กรเติบโต งาน HR ต้องพร้อม 100% ถึงเวลาจัดการเงินเดือนอย่างเป็นระบบด้วย FlowAccount Payroll

โครงสร้างองค์กร คือหัวใจสำคัญของบริษัทที่กำลังเติบโต เพราะการเลือกใช้โครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงเพื่อความเป็นระเบียบเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันองค์กรให้เติบโตอย่างมีทิศทาง โดยควรพิจารณาจากลักษณะธุรกิจ ขนาดองค์กร ผังองค์กร ทรัพยากร และวัฒนธรรมองค์กรเป็นหลัก เพื่อให้โครงสร้างที่เลือกใช้นั้น “ทำงานร่วมกับคน” ได้จริง และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 

และเมื่อองค์กรขยายตัว อย่าปล่อยให้งานจัดการเงินเดือนที่ซับซ้อนมาฉุดรั้งการเติบโต ให้ FlowAccount Payroll โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ ตัวช่วยที่จะเข้าเปลี่ยนเรื่องการทำเงินเดือนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยระบบที่ช่วยออกสลิปเงินเดือนและใบ 50 ทวิได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ฝ่ายบุคคลทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้คุณมีเวลาโฟกัสกับการสร้างการเติบโตให้องค์กร 100% 


โปรแกรมเงินเดือน FlowAccount Payroll


คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับโครงสร้างองค์กร

รวบรวมคำถาม-คำตอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้างองค์กร สำหรับผู้บริหาร HR เจ้าของกิจการ และพนักงานทุกระดับ


โครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมต้องเป็นรูปแบบไหน?

ตอบ : ไม่มีโครงสร้างองค์กรแบบไหนที่เหมาะสมสำหรับทุกองค์กร ในการเลือกโครงสร้างองค์กรเพื่อนำมาปรับใช้กับบริษัท องค์กรต้องคำนึงถึงลักษณะธุรกิจ ขนาดองค์กร ผังองค์กร ทรัพยากร และวัฒนธรรมองค์กรเป็นหลัก เพื่อเลือกโครงสร้างที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร


โครงสร้างองค์กรที่นิยมใช้ในประเทศไทยคือแบบไหน?

ตอบ : โดยทั่วไปองค์กรไทยนิยมใช้โครงสร้างบริษัทแบบลำดับขั้น (Hierarchical Structure) ซึ่งมีสายการบังคับบัญชาชัดเจน และโครงสร้างตามหน้าที่ (Functional Structure) ซึ่งแบ่งตามความเชี่ยวชาญ เช่น ฝ่ายการเงิน ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด เป็นต้น ซึ่งโครงสร้างองค์กรเหล่านี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานของไทยที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้น และความชัดเจนในหน้าที่


ธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพควรเลือกโครงสร้างองค์กรแบบไหน?

ตอบ : สำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ ควรพิจารณาใช้ผังโครงสร้างองค์กรแบบแนวนอน (Horizontal Structure) หรือโครงสร้างแบบทีมงาน (Team-Based Structure) ที่ลดลำดับขั้นลง ส่งเสริมการสื่อสารแบบเปิด และให้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว ซึ่งเหมาะกับองค์กรที่ต้องการตัดสินใจเร็วและมีทรัพยากรบุคคลที่จำกัด


หากองค์กรเติบโตขึ้น ควรปรับโครงสร้างองค์กรหรือไม่?

ตอบ : องค์กรควรทบทวนและปรับโครงสร้างองค์กรอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น มีสายงานใหม่ หรือขยายตลาด โครงสร้างเดิมอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป การปรับโครงสร้างให้เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น รองรับการเติบโต และลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการทำงาน


โครงสร้างองค์กรจำเป็นแค่ไหนต่อความสำเร็จของธุรกิจ?

ตอบ : จำเป็นอย่างมาก เพราะผังองค์กร จะช่วยกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่ง ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มความชัดเจนในการประสานงานระหว่างฝ่าย อีกทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญของระบบทรัพยากรมนุษย์ (HR System) ด้วย


​​

About Author

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ