กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร? สรุปทุกอย่างในบทความเดียว

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร ? เมื่อนายจ้างและฝ่ายบุคคลจะต้องเตรียมพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อกระทรวงแรงงานเริ่มมีการพูดถึงกฎหมายใหม่ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ที่มีโอกาสที่จะเริ่มบังคับใช้ในช่วงปี 2569 หลังจากเลื่อนมาจากปี 2568 โดยกำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อสร้างหลักประกันทางการเงินให้แก่พนักงาน 

ในบทความนี้จะสรุปทุกประเด็นสำคัญที่คุณต้องรู้ ตั้งแต่ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร เงื่อนไขการส่งเงินสมทบ ไปจนถึงความแตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างเตรียมตัวและปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้อง


เลือกอ่านได้เลย!

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร?


กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (Employee Welfare Fund) คือกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันและสวัสดิการพนักงานอีกหนึ่งรูปแบบ กรณีที่ต้องออกจากงานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลาออก, การถูกเลิกจ้าง, หรือเกษียณอายุ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินทุนสำรองไว้ใช้จ่ายในช่วงที่ขาดรายได้ ถือเป็นหนึ่งในกลไกด้านหลักประกันทางการเงินที่ภาครัฐกำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาให้ลูกจ้าง 


โดยกองทุนนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะมีข้อบังคับที่ต้องให้ลูกจ้างส่งเงินสะสมเข้ากองทุนเป็นจำนวน 0.25% ของค่าจ้างรวมกับเงินสมทบจากฝั่งนายจ้างอีก 0.25% รวมเป็น 0.50% ต่อเดือน 


ตัวอย่างการคำนวณ : นาย A ได้รับค่าจ้างเดือนละ 25,000 บาท จะถูกหักเงินเข้ากองทุน 0.25% (62.50 บาท) และนายจ้างจะต้องสมทบเงินเข้ากองทุนให้อีกในจำนวนที่เท่ากันคือ 62.50 บาท เท่ากับในเดือนนั้นนาย A จะมีเงินอยู่ในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 125 บาท


กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ


บริษัทไหนบ้างที่ต้องเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ?

กิจการหรือบริษัทที่เข้าข่ายต้องจัดตั้งและนำส่งเงินเข้า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตามที่กฎหมายกำหนด มีเงื่อนไขดังนี้

  • เป็นสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
  • สถานประกอบการนั้นไม่ได้จัดให้มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
  • กรณีที่บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว แต่มีพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้เข้าร่วม (เช่น พนักงานที่ยังไม่ผ่านการทดลองงาน หรือพนักงานที่เลือกจะไม่เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง) นายจ้างมีหน้าที่ต้องให้พนักงานกลุ่มนั้นเข้าเป็นสมาชิกของ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แทน

บริษัทไหนบ้างที่ไม่ต้องเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ?

สำหรับสถานประกอบการที่ไม่เข้าข่ายบังคับให้ต้องเข้าร่วม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ได้แก่

  • กิจการที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 10 คน
  • กิจการที่นายจ้างได้จัดให้ลูกจ้างทุกคนเป็นสมาชิกของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อยู่ก่อนแล้ว
  • กิจการบางประเภทที่ได้รับการยกเว้น เช่น ลูกจ้างในมูลนิธิ สมาคม งานบ้าน, งานที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือโรงเรียนเอกชน (เฉพาะส่วนของผู้อำนวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา)
  • บริษัทที่นายจ้างมีการจัดให้มีการสงเคราะห์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกำหนด

อย่างไรก็ตามกิจการเหล่านี้สามารถยื่นความประสงค์เพื่อเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยความสมัครใจได้ โดยการให้นายจ้างยื่นแบบ สกล.3/1 หรือแบบฟอร์มแสดงรายชื่อลูกจ้าง สำหรับกิจการที่ลูกจ้างไม่ได้อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ก็สามารถเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้


กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างในกรณีใดบ้าง ?

ตามกฎแล้วกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะจ่ายเงินคืนให้ลูกจ้างเมื่อความเป็นลูกจ้างสิ้นสุดลงในทุกกรณี โดยลูกจ้างจะได้รับ "เงินสะสม" (ส่วนของตนเอง) และ "เงินสมทบ" (ส่วนของนายจ้าง) ทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ดังนี้

  • กรณีลูกจ้างลาออก
  • กรณีลูกจ้างถูกเลิกจ้างในทุกกรณีเช่น ถูกไล่ออกจากงาน, สิ้นสุดสัญญาจ้างตามวาระ ฯลฯ
  • กรณีลูกจ้างเกษียณอายุ
  • กรณีลูกจ้างเสียชีวิต (เงินที่ส่งเข้ากองทุนทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้แก่ทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้)

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แตกต่างจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรบ้าง ?

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น "เงินทุนสำรองระยะสั้น" ที่จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินเมื่อลูกจ้างต้องออกจากงานในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการลาออกหรือถูกเลิกจ้างก็ตาม ที่สำคัญคือกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็น "ภาคบังคับ" ตามกฎหมายสำหรับกิจการที่เข้าเงื่อนไข เมื่อลูกจ้างออกจากงานก็จะได้รับเงินที่ส่งเข้ากองทุนมาทั้งหมด ทั้งส่วนของตนเองและส่วนของนายจ้างคืนไปเต็มจำนวนทันที


ในทางกลับกัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น "เงินออมระยะยาว" สำหรับการเกษียณอายุโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสวัสดิการ "ตามความสมัครใจ" ที่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงเข้าร่วมด้วยกัน ซึ่งความแตกต่างที่ชัดเจนคือเงื่อนไขการรับเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับ ‘อายุงานของลูกจ้าง’ หากลูกจ้างทำงานไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น 5 ปี) ก็อาจจะไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างในส่วนนั้นไปทั้งหมด


กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แตกต่างจาก กองทุนประกันสังคมอย่างไร ?

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีขอบเขตที่เฉพาะเจาะจงคือเป็นเงินออมที่จ่ายคืนให้ลูกจ้างเป็นเงินก้อนเมื่อ "สิ้นสุดสภาพการจ้างงาน" เท่านั้น โดยมีผู้จ่ายเงินเข้ากองทุนเพียง 2 ฝ่าย คือลูกจ้างและนายจ้าง และจะบังคับใช้กับกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป


ในขณะที่ กองทุนประกันสังคมคือหลักประกันสังคมขั้นพื้นฐานที่มีขอบเขตกว้างกว่ามาก โดยให้ความคุ้มครองความเสี่ยงในชีวิตหลายด้าน ทั้งกรณีเจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, ว่างงาน (ซึ่งเป็นการจ่ายเงินชดเชยรายเดือน ไม่ใช่เงินออม) และชราภาพ โดยกองทุนประกันสังคมถือเป็นภาคบังคับสำหรับกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป และมีผู้จ่ายเงินสมทบถึง 3 ฝ่าย คือ ลูกจ้าง, นายจ้าง และรัฐบาล 


ดังนั้นสรุปได้ว่า กองทุนประกันสังคมคือ สวัสดิการเพื่อบริหารความเสี่ยงในชีวิต ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคือ เงินออมเพื่อรองรับกรณีที่ลูกจ้างขาดรายได้จากงานประจำโดยเฉพาะ


การส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีหลักเกณฑ์อย่างไร ?

หลักเกณฑ์การนำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะ เพื่อให้ธุรกิจได้ค่อย ๆ เริ่มปรับตัว ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เริ่มต้นช่วงเดือนตุลาคม 2569 - 30 กันยายน 2573 ในแต่ละเดือนลูกจ้างจะต้องจ่าย "เงินสะสม" 0.25% ของค่าจ้าง และนายจ้างจ่าย "เงินสมทบ" 0.25% ของค่าจ้าง
  • ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป อัตราจะปรับขึ้นเป็นในแต่ละเดือน ลูกจ้างจะต้องจ่าย "เงินสะสม" 0.50% ของค่าจ้าง และนายจ้างจ่าย "เงินสมทบ" 0.50% ของค่าจ้าง

ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่หักเงินและนำส่งพร้อมเงินสมทบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และต้องทำการแจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงข้อมูลของบัญชีธนาคาร ภายใน 7 วันนับตั้งแต่ที่มีการหักเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างครั้งแรก


*ทั้งนี้ระยะเวลาของการเริ่มบังคับใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับการออกกฏระเบียบของกระทรวงแรงงาน


นายจ้างต้องเตรียมการอะไรบ้าง เมื่อกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างบังคับใช้

แม้ว่า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 2568 จะยังไม่เริ่มบังคับใช้ แต่ในฝั่งของนายจ้างหรือแผนก HR ควรเตรียมความพร้อมดังนี้

  • ขึ้นทะเบียน : ยื่นแบบฟอร์มเพื่อขึ้นทะเบียนนายจ้างและลูกจ้างกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยแบบฟอร์มที่ใช้ได้แก่ สกล.3, สกล.3/1,สกล.3/2 และ สกล.4 
  • หักเงินสะสม : เริ่มหักเงินเดือนของลูกจ้างตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (0.25%)
  • จ่ายเงินสมทบ : เตรียมงบประมาณสำหรับจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างในอัตราที่เท่ากัน (0.25%)
  • นำส่งเงิน : นำส่งเงินสะสมและเงินสมทบ พร้อมยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง (สกล.3) ไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประจำจังหวัด ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน
  • แจ้งลูกจ้าง : แจ้งรายละเอียดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่น บัญชีธนาคาร ฯลฯ ให้ลูกจ้างทราบภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วันหลังจากเริ่มนำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

สรุปทั้งหมดเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้น เป็นกองทุนที่มีประโยชน์ต่อทั้งลูกจ้างและนายจ้าง โดยสำหรับลูกจ้างจะได้ประโยชน์ในเรื่องการมีเงินทุนสำรองไว้ใช้จ่ายในยามที่ออกจากงาน มีหลักประกันในการใช้ชีวิต ส่วนฝั่งนายจ้างนั้น ก็จะได้ประโยชน์ในเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร อีกทั้งยังมีส่วนช่วยจูงใจลูกจ้างให้อยากทำงานอยู่กับองค์กรได้นานขึ้นนั่นเอง


รวมคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

หลังจากที่ได้ทราบไปแล้วว่า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เราเลยได้ทำการรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้ทำความเข้าใจไปพร้อมกัน


1. พนักงานหรือลูกจ้าง สามารถไม่เข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ไหม ?

ตอบ : ไม่ได้ หากกิจการของนายจ้างเข้าเงื่อนไขบังคับ (มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไปและไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) การที่ลูกจ้างต้องเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ถือเป็นกฎหมายภาคบังคับ โดยที่ลูกจ้างไม่สามารถปฏิเสธการเข้าร่วมได้


2. ถ้าบริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ต้องเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างไหม?

ตอบ : ไม่ต้องเข้าร่วม สำหรับกิจการไหนที่มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อยู่แล้วนั้นไม่ต้องเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่ทั้งนี้หากบริษัทมีพนักงานคนอื่นที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม นายจ้างมีหน้าที่ต้องให้พนักงานกลุ่มนั้นเข้าร่วม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ในทุกกรณี


3. เงินที่หักเพื่อเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สามารถเพิ่มจาก 0.25% ได้ไหม?

ตอบ : สำหรับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้น อัตราเงินสะสมและเงินสมทบได้ถูกกำหนดไว้ตามกฎหมายอย่างชัดเจนโดยในช่วงแรก (ปี 2569 – 2573) อัตราจะถูกกำหนดไว้คงที่ฝ่ายละ 0.25% ของค่าจ้าง


4. กรณีเป็นลูกจ้างรายวัน ต้องส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างไหม ?

ตอบ : ถ้ากรณีที่กิจการมีลูกจ้างรายวัน นายจ้างต้องส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างการคำนวณเช่น นาย B เป็นลูกจ้างรายวันได้รับเงินค่าจ้างวันละ 400 บาท ในเดือนนั้นนาย B ทำงานไปทั้งหมด 20 วัน ให้เอา 400 (เงินค่าจ้าง) x 20 (จำนวนวันที่ทำงานในเดือนนั้น) x 0.25% = 20 บาท 


ดังนั้นนายจ้างจะต้องส่งเงินสมทบให้นาย B อีกเดือนละ 20 บาท รวมเงินที่ส่งเข้ากองทุนให้นาย B เดือนนั้นคือ 40 บาท 


5. พนักงานหรือลูกจ้าง ถ้าถูกเลิกจ้างจะมีสิทธิ์ได้รับเงินที่ส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างไหม?

หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างหรือถูกไล่ออก ลูกจ้างจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน เพราะกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างเมื่อขาดรายได้จากการออกจากงาน "ทุกกรณี" ซึ่งรวมถึงการถูกเลิกจ้างด้วย โดยจะได้รับทั้งเงินสะสมของตนเองและเงินสมทบจากนายจ้าง 


6. กรณีที่ลูกจ้างออกจากงานแล้ว สามารถขอรับเงินที่ส่งกองทุนคืนได้ที่ไหน ?

เมื่อลูกจ้างสิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงาน นายจ้างมีหน้าที่ต้องดำเนินการแจ้งและยื่นเรื่องต่อกองทุนฯ เพื่อให้ลูกจ้างได้รับเงินคืนทั้งหมด (เงินสะสม, เงินสมทบ) ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ลูกจ้างออกจากงาน โดยเงินจะถูกโอนเข้าบัญชีของลูกจ้างโดยตรง ซึ่งถือเป็นนโยบายด้าน Employee Welfare ที่จะช่วยให้พนักงานมีความมั่นคงทางการเงินและเป็นเรื่องที่นายจ้างต้องให้ความสำคัญตามข้อกำหนดของ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 2568 ที่กำลังจะมาถึง


 

About Author

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ