ใครบ้างที่ต้องจด VAT / จดภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน
- ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ได้มีการดำเนินการ และเตรียมการประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้า หรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน ก่อสร้างอาคารสำนักงาน หรือการติดตั้งเครื่องจักร
- ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายในกำหนด 6 เดือน ก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ เว้นแต่มีสัญญาหรือหลักฐานจะดำเนินการก่อสร้าง ภายในเวลาที่เหมาะสม
- ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระ โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร
- ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน
- จดเมื่ออยากจด
การจด VAT เราไม่จำเป็นต้องเข้าข่าย 3 ข้อด้านบนก็จดได้ ถ้ากิจการเราประกอบธุรกิจที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีความต้องการใช้ภาษีซื้อเพื่อมาหักจากยอดภาษีขาย การจดยิ่งไวยิ่งดี แต่ถ้าไม่ได้รีบมาก เราจะถูกกฎหมายบังคับให้จดเมื่อมีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทในระหว่างปี ถ้าปีไหนถึงเกณฑ์นี้ แปลว่าเรามีภาระหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันที หรือเกณฑ์อื่นๆ ตามที่ระบุไว้ด้านบน
ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายๆ บริษัทที่จด VAT เอง ก็อยากทำมาค้าขายกับบริษัทที่จด VAT ด้วยกัน จะได้เคลมภาษีขายได้ (อ่านต่อในหัวข้อ จดแล้วต้องทำอะไรบ้าง) หลายๆ ครั้งที่เราติดต่องานกับบริษัทต่างๆ เขาก็มักจะมีขอใบ ภ.พ.20 หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้วยนั่นเอง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. รายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีที่บังคับให้ต้องจด VAT นับอย่างไร?
ตอบ: การนับรายได้ 1.8 ล้านบาท จะนับจากรายได้ของ “รอบระยะเวลาบัญชี” หรือ “ปีปฏิทิน” ของคุณ โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของรอบบัญชีไปเรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่รายได้รวมของคุณ (เฉพาะส่วนที่ไม่ได้รับการยกเว้น VAT) แตะถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะมีหน้าที่ต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับจากวันที่มีรายได้เกิน และรายได้ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะต้องบวก VAT 7% ทั้งหมด
2. หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่ได้จด VAT จะเกิดอะไรขึ้น?
ตอบ: นี่คือความเสี่ยงที่ร้ายแรงมาก หากกรมสรรพากรตรวจพบ คุณจะต้องรับผิดชอบ “ภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลัง” ทั้งหมดนับตั้งแต่วันแรกที่รายได้ของคุณเกิน 1.8 ล้านบาท โดยสรรพากรจะถือว่าราคาสินค้า/บริการที่คุณขายไปนั้น “รวม VAT 7%” อยู่แล้ว นอกจากนี้ คุณจะต้องเสียค่าปรับ (เบี้ยปรับ) 2 เท่าของยอดภาษี และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีนั้น ๆ ซึ่งอาจเป็นยอดเงินจำนวนมากได้
3. ถ้าออกใบกำกับภาษีผิดพลาด เช่น สะกดชื่อลูกค้าผิด หรือคำนวณราคาผิด จะแก้ไขอย่างไร?
ตอบ: ห้ามขีดฆ่าหรือแก้ไขบนใบกำกับภาษีฉบับเดิมเด็ดขาด วิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายคือ คุณต้องทำการ “ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม” แล้ว “ออกใบใหม่ที่ถูกต้อง” หรือทำการออกเอกสารที่เรียกว่า “ใบลดหนี้ (Credit Note)” หรือ “ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note)” เพื่อปรับปรุงรายการที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีหลักฐานการแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของกรมสรรพากร
4. ในบางเดือน ภาษีซื้อเยอะกว่าภาษีขาย ทำให้ภาษีติดลบ ต้องทำอย่างไร?
ตอบ: กรณีที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย (มักเกิดกับธุรกิจที่ลงทุนซื้อของช่วงแรกๆ) คุณจะมี “เครดิตภาษี” เกิดขึ้น ซึ่งสามารถจัดการได้ 2 วิธีคือ:
– ขอคืนเป็นเงินสด: คุณสามารถยื่นเรื่องขอคืนภาษีส่วนต่างนั้นเป็นเงินสดได้ แต่กระบวนการนี้มักจะใช้เวลาและอาจถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด
– ยกยอดไปใช้เดือนถัดไป: เป็นวิธีที่นิยมและง่ายกว่า คือการยกยอดเครดิตภาษีนี้ไปใช้หักออกจาก “ภาษีขาย” ในเดือนถัดๆ ไปได้จนกว่าเครดิตจะหมด
5. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ที่ได้รับจากร้านค้าปลีก สามารถนำมาใช้เป็นภาษีซื้อได้หรือไม่?
ตอบ: ไม่สามารถนำมาใช้หักภาษีซื้อได้ เพราะภาษีซื้อที่จะนำมาหักลบกับภาษีขายได้นั้น จะต้องมาจาก “ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป” ที่ระบุชื่อ, ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทคุณอย่างถูกต้องเท่านั้น แม้ใบกำกับภาษีอย่างย่อจากร้านสะดวกซื้อหรือปั๊มน้ำมันจะแสดงยอด VAT แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ในทางภาษีได้ ทำได้เพียงนำยอดค่าใช้จ่าย (ก่อน VAT) มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการเท่านั้น






