
อีกหนึ่งคำถามที่มาอยู่บ่อยๆ และเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผมได้รับอยู่เป็นประจำ นั่นคือ
หลังจากที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะทำให้ต้นทุนของเราสูงกว่าคนอื่น
หรือเปล่า? เพราะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไปทุกครั้งที่ซื้อสินค้าหรือบริการ
ประเด็น ภาษีมูลค่าเพิ่ม กับการตั้งราคา นี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานครับ ในแง่การจัดการและการบริหารต้นทุน แต่ผมอยากให้มองแยกกันก่อนครับว่า ภาษีซื้อ ไม่ใช่ต้นทุน และ ภาษีขาย ไม่ใช่รายได้ แต่ละส่วนนั้นแยกจากกันครับ
ถ้าสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะถูกแยกออกจากราคาของสินค้าและบริการมาโดยตลอด และวิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มโดยทั่วไปที่เรียกว่า วิธีภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ หรือ ภาษีขายลบด้วยภาษีซื้อ
จะยึดหลักการที่ว่าส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะถูกนำส่งให้แก่กรมสรรพากรหรือสามารถขอคืนได้
หลักการแรกที่ผมอยากฝากไว้ สำหรับคนที่ตัดสินใจเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นั่นคือ
“ตั้งราคา” ที่ไม่รวมภาษีไว้แล้วจึงค่อยคำนวณ “ภาษี” เข้าไป “เพิ่ม”
ตัวอย่างเช่น ขายสินค้าในราคา 1,000 บาท ต้องบวก “ภาษีขาย” เข้าไปอีก 70 บาท เมื่อเรียกเก็บจากลูกค้า จะต้องเรียกเก็บในราคา 1,070 บาท ซึ่งแปลว่าเราจะมีรายได้ 1,000 บาท ส่วน 70 บาทนั้นแยกเป็นส่วนของภาษีที่ต้องนำส่งสรรพากร
ทีนี้ปัญหาที่ถามมาก็คือ ในกรณีที่บริษัทหรือคู่แข่งไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะได้รับสิทธิขายแค่ 1,000 บาทใช่ไหมล่ะครับ? เพราะเวลาขายไม่ต้องรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และถ้าเป็นกิจการที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับราคา ก็ยิ่งทำให้มีผลต่อการตัดสินใจ
แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า ในกรณีของธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย่อมไม่สามารถเอาภาษีซื้อมาใช้ได้เช่นเดียวกัน เช่น ซื้อสินค้าราคา 500 บาท มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 35 บาท รวมจ่ายไปทั้งสิ้น 535 บาท ซึ่งจำนวนนี้จะแตกต่างกันตรงที่ ธุรกิจไหนจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะสามารถนำภาษีซื้อจำนวน 35 บาทมาหักออกจากภาษีขาย 70 บาทและนำส่งสรรพากรได้ ในขณะที่คนที่ไม่ได้จดจะต้องแบกรับต้นทุนจำนวน 535 บาทไปเอง
| รายการ | จดภาษีมูลค่าเพิ่ม | ไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม |
|---|---|---|
| ราคาขาย (ไม่รวม VAT) | 1,000 | 1,000 |
| ต้นทุน | 500 | 535 |
| กำไร | 500 | 465 |
| ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 70 – 35 = 35 บาท | ไม่มี |
ถ้ามองภาพรวมในระบบภาษีแล้ว จะเห็นว่าฝ่ายที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะได้เปรียบมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เงิน 70 บาทนั้น เรียกเก็บจากลูกค้า และภาษีซื้อจำนวน 35 บาทสามารถนำมาหักออกจากภาษีขายได้ (ไม่เสียอะไรเพิ่ม)
แต่ถ้ามองอีกภาพหนึ่ง สิ่งที่น่ากังวล คือ ราคาขายรวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกันจำนวน 70 บาท จะทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจหรือไม่ในการซื้อ ถ้าหากเป็นสินค้าเหมือนกัน ใครจะมาจ่าย 1,070 บาทใช่ไหมครับ สู้จ่าย 1,000 บาทให้กับอีกเจ้าที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะดีกว่าไหมล่ะ?
เอาแบบนี้ดีกว่าครับ เราลองปรับกรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นราคาขายรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ 1,000 บาท สิ่งที่เปลี่ยนไปจะเป็นดังนี้
| รายการ | จดภาษีมูลค่าเพิ่ม | ไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม |
|---|---|---|
| ราคาขาย (ไม่รวม VAT- ปัดเศษ) | 935 | 1,000 |
| ต้นทุน | 500 | 535 |
| กำไร | 435 | 465 |
| ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 65 – 35 = 30 บาท | ไม่มี |
ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าหากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะพยายามแข่งขันทางด้านราคา กำไรจะต่ำกว่าร้านค้าที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันทีครับ (ยอด 935 คือยอดที่ไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เก็บเงินจากลูกค้า 1,000 บาทคือราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเลือกทางเดินแบบไหนดีครับ
อย่างไรก็ตามเมื่อชีวิตเดินทางมาถึงตรงนี้ ผมเลยอยากฝากไว้เพื่อให้พิจารณาครับว่า ควรจะเลือกทางไหน ยังไง เพื่อให้ตัวเองได้รับประโยชน์มากที่สุด
เทคนิค 3 ข้อ สำหรับธุรกิจที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. เลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและสามารถออกใบกำกับภาษีได้อย่างถูกต้อง เพราะว่าจะทำให้เราได้สิทธิในการนำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย
2. กรณีมีการแข่งขันด้านราคา ต้องพิจารณาต้นทุนจริงและกำไรจริงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจว่าสามารถต่อสู้ได้ไหม
และในส่วนนี้เจ้าของธุรกิจสามารถใช้โปรแกรมบัญชี FlowAccount ในส่วนของระบบบัญชีรายรับรายจ่ายช่วยบันทึกรายการซื้อและรายการขายต่างๆ ซึ่งในโปรแกรมจะสรุปเป็นรายงานภาษีซื้อและภาษีขายให้อัตโนมัติ และจะใช้วิธีสแกนรูปใบเสร็จแนบไว้ในระบบเพื่อป้องกันเอกสารหล่นหายได้อีกด้วย
3. หรือว่ามีวิธีจัดการบริหารอย่างไรให้ต้นทุนเราต่ำกว่าผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากพบการกระทำที่ไม่ถูกต้องผู้ประกอบการที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แนะนำให้ร้องเรียนผ่านกรมสรรพากรครับ รายละเอียดคลิก!
สำหรับเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่มใน 3 ตอนที่ผ่านมานี้ ก็ต้องจบแต่เพียงเท่านี้ครับ หวังว่าคงทำให้หลายๆคนเข้าใจระบบ VAT และหน้าที่ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ