ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร รวมทุกเรื่องต้องรู้ ฉบับอัปเดตใหม่

VAT คืออะไร ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ใครมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง รู้จักกับภาษีซื้อ ภาษีขายและวิธีการบันทึกบัญชี พร้อมตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจการคำนวณ VAT มากขึ้น แล้วมีรายการใดบ้างที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม มีเครื่องมือใดที่ช่วยให้คุณบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป 9 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม

เลือกอ่านได้เลย!

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเรียกเก็บจากมูลค่าสินค้าและบริการที่มีการซื้อขายในประเทศและการนำเข้าสินค้า หรือเรียกอีกชื่อว่า VAT โดยปัจจุบันจะถูกจัดเก็บอยู่ที่ 7% เพื่อยื่นหรือส่งมอบภาษีให้แก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยนอกจากยื่นและจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีและจัดทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย ไม่ว่าจะต้องชำระภาษีหรือไม่ก็ตาม


ใครบ้างที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ?

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ผู้ประกอบการมือใหม่มักสงสัยคือ “ต้องจด VAT เมื่อไหร่?” หรือ “รายได้เท่าไหร่ถึงต้องเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม?” ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ต้องจดทะเบียนทันทีที่เริ่มเปิดกิจการ แต่จะมีเกณฑ์กำหนดที่ชัดเจนอยู่


เพื่อให้คุณวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและไม่พลาดจนโดนเบี้ยปรับย้อนหลัง เราได้สรุปกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลที่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้


1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

นี่คือเกณฑ์มาตรฐานที่พบได้บ่อยที่สุด หากธุรกิจของคุณมีการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นปกติธุระ และมีรายรับก่อนหักค่าใช้จ่าย เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี กฎหมายบังคับให้คุณต้องเข้าสู่ระบบ VAT ทันที

  • สิ่งที่ต้องทำ: ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาท

2. ผู้ที่มีแผนงานประกอบกิจการและมีการเตรียมการล่วงหน้า

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มขายสินค้าจริง แต่มีหลักฐานยืนยันได้ว่ากำลังเตรียมการประกอบกิจการซึ่งจะต้องอยู่ในระบบ VAT อย่างแน่นอน เช่น กำลังก่อสร้างโรงงาน, ก่อสร้างอาคารสำนักงาน, หรือกำลังติดตั้งเครื่องจักร

  • สิ่งที่ต้องทำ: สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ล่วงหน้า ภายในกำหนด 6 เดือน ก่อนวันเริ่มประกอบกิจการจริง (เว้นแต่จะมีสัญญาหรือหลักฐานที่แสดงว่าจะดำเนินการก่อสร้างภายในเวลาที่เหมาะสม ก็อาจยื่นก่อนหน้านั้นได้)

3. ผู้ประกอบการต่างประเทศที่มีตัวแทนอยู่ในไทย

ในกรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร (ต่างประเทศ) แต่ได้เข้ามาขายสินค้าหรือให้บริการในประเทศไทยเป็นปกติธุระ โดยมีตัวแทนทำหน้าที่แทนอยู่ในประเทศไทย

  • สิ่งที่ต้องทำ: ให้ตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแทน

4. ผู้ที่สมัครใจขอจดทะเบียน

แม้ว่ารายรับของกิจการจะยังไม่ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่หากคุณต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็สามารถ “สมัครใจ” ขอจด VAT ได้เช่นกัน โดยไม่ต้องรอให้รายได้ถึงเกณฑ์ ซึ่งมีข้อดีหลายประการ เช่น:

  • ต้องการนำ “ภาษีซื้อ” มาขอคืน: หากธุรกิจของคุณมีต้นทุนการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบที่ต้องจ่าย VAT ไปจำนวนมาก การจดทะเบียนจะทำให้คุณนำภาษีซื้อมาหักลบกับภาษีขายได้

  • สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้า โดยเฉพาะเมื่อต้องทำธุรกิจกับบริษัทใหญ่ที่อยู่ในระบบ VAT เหมือนกัน ซึ่งมักจะต้องการใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง

  • เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต: หากประเมินแล้วว่าธุรกิจจะเติบโตจนรายได้แตะ 1.8 ล้านบาทในเร็ววัน การจดทะเบียนไว้ก่อนจะช่วยให้ระบบบัญชีพร้อมรองรับการเติบโตได้ทันที


ใบ ภ.พ.20 หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม


ธุรกิจอะไรได้รับยกเว้น ไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง ?

รายการที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสรรพากรตามกฎหมายมี 5 ข้อดังต่อไปนี้ (แต่มีสิทธิแจ้งขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหากต้องการ)

  1. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
  2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
  3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
  4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
  5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่


ถ้าไม่ได้รับการยกเว้น แต่ไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม จะโดนปรับเท่าไหร่?

การไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์นั้น มีความผิดตามกฎหมายหากถูกตรวจสอบพบ นอกจากภาษีที่ต้องชำระแล้ว ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ต้องจ่ายเบี้ยปรับ (มากที่สุดคือ 2 เท่าของภาษีที่ชำระ) และ เงินเพิ่ม (1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ) อีกด้วย


รายได้ 1.8 ล้าน นับอย่างไร แบบไหนเข้าข่ายต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม?


เมื่อพูดถึงตัวเลข “รายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปี” หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าให้นำเงินเข้ากระเป๋าทุกบาททุกสตางค์มารวมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรมีรายละเอียดการนับที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนและช่วยให้คุณประเมินสถานการณ์ของตัวเองได้ถูกต้อง เราได้สรุป 4 หลักเกณฑ์สำคัญในการนับรายได้เพื่อเข้าสู่ระบบ VAT ไว้ดังนี้


1. นับเฉพาะรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

หลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีรายได้ 2 ประเภท นั่นคือ รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กับ รายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การนับยอด 1.8 ล้านบาท จะนับเมื่อมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวมแล้วเกิน 1.8 ล้านบาท โดยไม่นับยอดของรายได้ที่ได้รับยกเว้น


ยกตัวอย่างเช่น นาย A มนุษย์เงินเดือนมีรายได้ปีละ 2 ล้านบาท (รายได้ที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม) และมีรายได้จากการขายอาหารออนไลน์จำนวน 1 ล้านบาท (รายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) แบบนี้นาย A เลือกที่จะจดหรือไม่จดก็ได้ เพราะยังมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด


แต่ถ้ารายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันแล้วถึง 1.8 ล้านบาท แบบนี้ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้อง


2. บุคคลธรรมดาก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นยึดตาม “การประกอบการ” เป็นหลัก โดยไม่ได้สนใจรูปแบบขององค์กร ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจในนาม “นิติบุคคล” หรือเป็นเพียง “บุคคลธรรมดา” (เช่น แม่ค้าออนไลน์, ฟรีแลนซ์) หากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการที่เข้า

3. กรณีสามี-ภรรยา ทำธุรกิจร่วมกัน นับอย่างไร?

สำหรับการทำธุรกิจในรูปแบบครอบครัว หากสามีและภรรยาร่วมกันประกอบกิจการ (เช่น ช่วยกันไลฟ์ขายของ, ใช้บัญชีร่วมกัน) สรรพากรจะมองว่าเป็น “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล”

  • วิธีการนับ: ให้นับรายได้รวมกัน หากยอดรวมของกิจการนั้นเกิน 1.8 ล้านบาท ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในนามของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น

  • ข้อสังเกต: แม้ในทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามีภรรยาอาจจะเลือกแยกยื่นแบบภาษีได้ แต่ในทางภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะดูที่ตัวกิจการที่ทำร่วมกันเป็นหลัก


4. ธุรกิจมีหลายสาขา นับรวม หรือนับแยก?

สำหรับการทำธุรกิจในรูปแบบครอบครัว หากสามีและภรรยาร่วมกันประกอบกิจการ (เช่น ช่วยกันไลฟ์ขายของ, ใช้บัญชีร่วมกัน) สรรพากรจะมองว่าเป็น “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล”

  • วิธีการนับ: ให้นับรายได้รวมกัน หากยอดรวมของกิจการนั้นเกิน 1.8 ล้านบาท ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในนามของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น

  • ข้อสังเกต: แม้ในทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามีภรรยาอาจจะเลือกแยกยื่นแบบภาษีได้ แต่ในทางภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะดูที่ตัวกิจการที่ทำร่วมกันเป็นหลัก


จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ไหน?

การจดทะเบียนทุกวันนี้สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ ติดต่อผ่านทางสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือ จดทะเบียนผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากรที่หน้า บริการ VAT SBT ONLINE


ถ้าอยากออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องทำอย่างไร? 

การออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะสามารถออกได้เมื่อมีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี โดยสามารถไปจดทะเบียนขอออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยแบบ ภ.พ.08 คำขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือดาวน์โหลดไฟล์จากลิงค์นี้ได้ http://download.rd.go.th/fileadmin/tax_pdf/request/PP08_140355.pdf


จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วต้องทำอะไรบ้าง?

หลังจากจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่หลัก ๆ ดังต่อไปนี้


  1. จัดทำใบกำกับภาษี โดยออกทุกครั้งเมื่อขายสินค้าหรือให้บริการ และเกิดจุดความรับผิดทางด้านภาษี เช่น ขายสินค้า ออกเมื่อมีการส่งมอบสินค้า (ใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษี) หรือ บริการ ออกเมื่อมีการรับชำระเงิน (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน) เป็นต้น
  2. จัดทำรายงานที่เกี่ยวข้อง รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และ รายงานสินค้าคงเหลือและวัตถุดิบ 
  3. นำยอดภาษีขาย (ที่เราออก) มาหักด้วยภาษีซื้อ (ที่จ่ายไป) และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แบบ ภ.พ. 30 ในทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (อาจมีขยายเวลาบางกรณี) ซึ่งสามารถดูได้จากปฏิทินภาษีอากร ซึ่งจะมีลิงก์ให้เพิ่มเข้าไปใน Google Calendar ของคุณได้อีกด้วย

ในส่วนของการทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ FlowAccount ดาวน์โหลดรายงานทั้งสองนี้ออกมา เพื่อเป็นข้อมูลในการนำส่งแบบยื่นภาษี ภ.พ.30 ให้กับกรมสรรพากรได้เลย


ใบกำกับภาษี


ยกตัวอย่างเช่น

  • บริษัท ขายดีมีกำไร จำกัด มีการซื้อสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 1 รายการในราคา 100,000 บาท (ยอดรวมภาษี 107,000 บาท)
  • และขายสินค้าตัวนี้ออกไปให้กับ บริษัท รับซื้อทุกอย่าง จำกัด ในราคา 200,000 บาท (ยอดรวมภาษี 214,000 บาท)

ดังนั้นสิ่งที่บริษัท ขายดีมีกำไร จำกัด ต้องทำคือ

  1. ขอใบกำกับภาษี (ตอนซื้อ)
  2. ออกใบกำกับภาษี (ตอนขาย)
  3. และจัดทำรายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

หลังจากนั้นนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 14,000 (ภาษีซื้อ) ลบกับ 7,000 (ภาษีขาย) เหลือ 7,000 บาท นำส่งให้แก่กรมสรรพากร


สอนวิธีการคำนวณ VAT เพิ่มเติม (พร้อมตัวอย่าง)

จะเห็นว่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะคำนวณยังไง เราต้องทำความเข้าใจ “ภาษีซื้อ” และ “ภาษีขาย“ ก่อน เพราะยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องยื่นแก่สรรพากรนั้นคำนวณจาก

การคำนวณ VAT

การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม

การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม

บริหารภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไรดี?


จากตัวอย่างก่อนหน้านี้ ที่ภาษีซื้อ > ภาษีขาย ไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม เราจะมีสิทธิเลือกได้ว่า ยอดที่จ่ายเกินจะขอคืน “ทันที” ในเดือนนั้น หรือจะ “พันยอด”


ซึ่งการพันยอด หมายถึง ยกยอดเครดิตไปใช้ในเดือนต่อๆ ไป เพื่อให้ลดยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายลง เช่น เดือนนี้ยกยอด 7,000 บาทไปใช้ในเดือนหน้า ถ้าหากเดือนหน้าต้องยื่นนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 10,000 บาทก็จะนำยอด 7,000 ที่ค้างไว้มาหัก และเหลือนำส่งแค่ 3,000 บาทนั่นเอง


สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพันยอดภาษีซื้อได้ ที่นี่


พอเป็นแบบนี้ก็เลยมีหลายๆ คนมักจะแนะนำว่า ถ้าไม่อยากเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเยอะๆ เราก็แค่ทำให้ภาษีซื้อมันเยอะๆ สิ แต่วิธีการแบบนี้ หากไม่ใช่ภาษีซื้อจากการประกอบกิจการจริงๆ ก็คงไม่ดีแน่ เพราะการซื้อสินค้าและนำใบกำกับภาษีซื้อที่เป็นค่าใช้จ่ายเข้ามามากๆ นั้น อาจจะทำให้ “ต้นทุน” และ “ค่าใช้จ่าย” ไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจจริง รวมถึงอาจกลายเป็นภาษีซื้อ “ต้องห้าม” ที่ไม่สามารถขอคืนภาษีได้อีกด้วย (เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ) สุดท้ายกลายเป็นว่าธุรกิจต้องมาจ่ายเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากการนำส่งข้อมูลผิดพลาดอีกหลายต่อเสียด้วยซ้ำ (รู้สึกตัวอีกที สรรพากรก็เข้ามาเยี่ยมเยียนถึงออฟฟิศซะแล้ว)


ตั้งราคารวม VAT ยังไงดี

ตั้งราคารวม VAT ไม่รวม VAT ยังไงดี เป็นอีกหนึ่งความถามยอดฮิตอีกข้อ แต่ด้วยความที่บทความนี้ค่อนข้างยาวมากแล้ว ใครสนใจประเด็นนี้ต่อ สามารถตามอ่านต่อได้ที่บทความถัดไป เทคนิคการตั้งราคา VAT


สรุปบทความ

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการ และนักบัญชีต้องดูแลและจัดการ 

เริ่มต้นบริหารภาษีมูลค่าเพิ่มครบวงจรด้วย FlowAccount จบทั้งลูป VAT ตั้งแต่การบันทึกค่าใช้จ่าย ภาษีซื้อภาษีขาย แนบไฟล์ใบกำกับเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการยื่นแบบ ภ.พ.30 จนไปถึงช่วยออกรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายตามสรรพากรกำหนด ทำให้นักบัญชีไม่ต้องมาจัดทำรายงานภาษีขายซ้ำซ้อนด้วยการดึงข้อมูลอัตโนมัติ


หมายเหตุ: บทความนี้มีต้นฉบับเขียนโดยคุณหนอม TaxBugnoms เผยแพร่บน FlowAccount ตั้งแต่ปี 2020 เราได้เข้ามารีไรท์และเรียบเรียงใหม่ให้เป็นเวอร์ชันอัปเดตล่าสุด ที่ละเอียดกว่าเดิมมาให้คุณแล้ว


คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)


1. รายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีที่บังคับให้ต้องจด VAT นับอย่างไร?


ตอบ: การนับรายได้ 1.8 ล้านบาท จะนับจากรายได้ของ “รอบระยะเวลาบัญชี” หรือ “ปีปฏิทิน” ของคุณ โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของรอบบัญชีไปเรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่รายได้รวมของคุณ (เฉพาะส่วนที่ไม่ได้รับการยกเว้น VAT) แตะถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะมีหน้าที่ต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับจากวันที่มีรายได้เกิน และรายได้ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะต้องบวก VAT 7% ทั้งหมด


2. หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่ได้จด VAT จะเกิดอะไรขึ้น?


ตอบ: นี่คือความเสี่ยงที่ร้ายแรงมาก หากกรมสรรพากรตรวจพบ คุณจะต้องรับผิดชอบ “ภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลัง” ทั้งหมดนับตั้งแต่วันแรกที่รายได้ของคุณเกิน 1.8 ล้านบาท โดยสรรพากรจะถือว่าราคาสินค้า/บริการที่คุณขายไปนั้น “รวม VAT 7%” อยู่แล้ว นอกจากนี้ คุณจะต้องเสียค่าปรับ (เบี้ยปรับ) 2 เท่าของยอดภาษี และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีนั้น ๆ ซึ่งอาจเป็นยอดเงินจำนวนมากได้


3. ถ้าออกใบกำกับภาษีผิดพลาด เช่น สะกดชื่อลูกค้าผิด หรือคำนวณราคาผิด จะแก้ไขอย่างไร?


ตอบ: ห้ามขีดฆ่าหรือแก้ไขบนใบกำกับภาษีฉบับเดิมเด็ดขาด วิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายคือ คุณต้องทำการ “ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม” แล้ว “ออกใบใหม่ที่ถูกต้อง” หรือทำการออกเอกสารที่เรียกว่า “ใบลดหนี้ (Credit Note)” หรือ “ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note)” เพื่อปรับปรุงรายการที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีหลักฐานการแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของกรมสรรพากร


4. ในบางเดือน ภาษีซื้อเยอะกว่าภาษีขาย ทำให้ภาษีติดลบ ต้องทำอย่างไร?


ตอบ: กรณีที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย (มักเกิดกับธุรกิจที่ลงทุนซื้อของช่วงแรกๆ) คุณจะมี “เครดิตภาษี” เกิดขึ้น ซึ่งสามารถจัดการได้ 2 วิธีคือ:
– ขอคืนเป็นเงินสด: คุณสามารถยื่นเรื่องขอคืนภาษีส่วนต่างนั้นเป็นเงินสดได้ แต่กระบวนการนี้มักจะใช้เวลาและอาจถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด
– ยกยอดไปใช้เดือนถัดไป: เป็นวิธีที่นิยมและง่ายกว่า คือการยกยอดเครดิตภาษีนี้ไปใช้หักออกจาก “ภาษีขาย” ในเดือนถัดๆ ไปได้จนกว่าเครดิตจะหมด


5. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ที่ได้รับจากร้านค้าปลีก สามารถนำมาใช้เป็นภาษีซื้อได้หรือไม่?


ตอบ: ไม่สามารถนำมาใช้หักภาษีซื้อได้ เพราะภาษีซื้อที่จะนำมาหักลบกับภาษีขายได้นั้น จะต้องมาจาก “ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป” ที่ระบุชื่อ, ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทคุณอย่างถูกต้องเท่านั้น แม้ใบกำกับภาษีอย่างย่อจากร้านสะดวกซื้อหรือปั๊มน้ำมันจะแสดงยอด VAT แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ในทางภาษีได้ ทำได้เพียงนำยอดค่าใช้จ่าย (ก่อน VAT) มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการเท่านั้น


รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ