ปัญหาที่น่าปวดหัวสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นการยิงโฆษณาออนไลน์ ค่าที่ปรึกษาการตลาด ค่าจ้าง influencer และการจัดอีเว้นต์ต่างๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องบัญชีและภาษี เราจะจัดการกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างไรให้ถูกต้องตามหลักบัญชีและภาษี ในวันนี้ FlowAccount ได้สรุปมาให้ทุกคนในบทความนี้แล้วค่ะ |
ถ้าทำธุรกิจแล้วสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้คือ การทำการตลาด เพื่อให้คนรู้จักสินค้า รู้จักแบรนด์ และตัดสินใจซื้อสินค้าจากเรา แล้วการตลาดที่ฮอตฮิตมาแรงสุดๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็คือ การตลาดออนไลน์ ที่ช่วยให้เราขยายฐานลูกค้าไปได้ไกลขึ้นและปังขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่ปัญหาที่น่าปวดหัวสำหรับการทำการตลาดออนไลน์นั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องบัญชีและภาษี เราจะจัดการกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างไรให้ถูกต้องตามหลักบัญชีและภาษี ในวันนี้ FlowAccount ได้สรุปมาให้ทุกคนในบทความนี้แล้วค่ะ
เลือกอ่านได้เลย!
1. ค่ายิง Ads โฆษณา
มาเริ่มต้นกันที่ตัวแรกเลย ค่าใช้จ่ายยิงโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ทั้งหลาย ให้สินค้าของเราป๊อบอัพขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ไม่ว่าจะในFacebook (หรือ Meta) และ Google
บัญชี:
โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายนี้ถือเป็นค่าโฆษณาที่จะต้องบันทึกบัญชีให้ตรงกับช่วงเวลาที่เราโฆษณาจริง เช่น ยิงโฆษณาเดือนไหน ก็ต้องลงบัญชีตามจริงในเดือนนั้นๆ ค่ะ
ภาษี:
สำหรับเรื่องภาษี เนื่องจากเราจ่ายเงินประเภท 40(8) ค่าโฆษณา ให้กับ Facebook และ Google ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ ภาษีที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
2. ค่าที่ปรึกษาการตลาด
ค่าใช้จ่ายถัดมาเป็นค่าที่ปรึกษาการตลาดที่คอยปรึกษาวิธีการทำการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Social Media หรือว่าทำ SEO ผ่าน Website เพื่อให้คำค้นหาของสินค้าเราติดหน้าแรกๆ ของ Google ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบรรดาที่ปรึกษาทั้งหลายมักทำงานในรูปแบบบริษัท และคิดค่าที่ปรึกษาเป็นรายเดือน
บัญชี:
ค่าที่ปรึกษาการตลาด บันทึกบัญชีตามหลักการบัญชีโดยรับรู้ค่าใช้จ่ายตามช่วงระยะเวลาที่ได้รับคำปรึกษา เช่น ถ้าสัญญา 1 ปี จำนวน 120,000 บาท ควรทยอยรับรู้ค่าใช้จ่ายทุกๆ เดือน เดือนละ 10,000 บาท เป็นต้น
ภาษี:
ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา กรณีที่จ่ายให้กับบริษัท ซึ่งจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย เรามีหน้าที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งภาษี 2 ประเภทดังต่อไปนี้
3. ค่าจ้าง Influencer
Influencer หมายถึง กลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางความคิดและการตัดสินใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายต่างๆ
การจ้างงาน Influencer ให้รีวิวสินค้าของเรานั้นก็เป็นอีกวิธีทางการตลาดที่นิยมมากๆ ในปัจจุบัน โดยเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งหลายก็จะมีเรทราคาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามในแต่ละช่องทางค่ะ
เจ้าของธุรกิจสามารถจ้างงานอินฟลูเอ็นเซอร์ได้ไม่ยาก และการจัดการเรื่องบัญชีและภาษีทำได้ดังนี้
บัญชี:
ค่าจ้าง Influencer ถ้ามีการจ้างงานจำนวนมาก ควรแยกบัญชีออกมาเป็นบัญชีจ้างงาน Influencer เลยค่ะ เพื่อจะได้เช็คจำนวนค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนได้เร็วขึ้นค่ะ
ภาษี:
ค่าจ้าง Influencer แบ่งเป็น 2 กรณี สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม รายละเอียดของแต่ละประเภทภาษีก็มีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างดังต่อไปนี้ค่ะ
4. ค่าจัด Event ต่างๆ
การจัด Event ต่างๆ แบบออฟไลน์หรือออนไลน์นั้น ก็เป็นวิธีการตลาดนึงที่นิยมใช้เพื่อให้ลูกค้ามาปฏิสัมพันธ์กับเรา และมีประโยชน์ในแง่ภาพพจน์ของกิจการ ถ้าเจ้าของธุรกิจมีทำงานมืออาชีพอาจจัด Event ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองสบายๆ แต่ถ้าไม่ถนัดงานด้านนี้เราก็สามารถจ้างออแกไนเซอร์ดำเนินการจัดงานทุกอย่างให้ได้
บัญชี:
ค่าใช้จ่ายการจัด Event มักมีไม่บ่อยในกิจการ แต่อาจต้องใช้เงินเยอะมาก ดังนั้น แนะนำว่าควรกำหนด Budget ของงาน Event แต่ละงานไว้ และบันทึกบัญชีแยกเป็นรายโปรเจคเพื่อจะได้ประเมินผลง่ายขึ้นค่ะ
ภาษี:
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานหรือ Event ต่างๆ นั้น ต้องพิจารณา 2 เรื่องเช่นเดียวกันกับค่าใช้จ่ายตัวอื่นๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างค่าใช้จ่ายการตลาดที่พบกันบ่อยๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าในยุคดิจิทัล ถ้าเราแบ่งประเภทบัญชีไว้อย่างเหมาะสม และจัดการเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างเข้าใจ แล้วทำเช่นนี้ให้เป็นนิสัย รับรองค่ะว่า เรื่องยากๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ก็ทำได้ค่ะ
About Author
เพจให้ความรู้เรื่องบัญชีสำหรับเจ้าของธุรกิจ ที่อยากให้บัญชีเป็นเรื่องง่าย ใกล้ตัว และมีประโยชน์กับธุรกิจ ภายใต้แนวคิดทีว่า “ทำบัญชี แล้วจะมีกำไร”
ร่วมสมัครเป็นนักเขียนกับ FlowAccount ได้ที่นี่