อ่านสั้นๆ
- ประโยชน์ที่เจ้าของธุรกิจจะได้รับจากประกันสังคม หนึ่งในนั้นคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจ เมื่อพนักงานกำลังตัดสินใจเลือกเข้าทำงาน
- หากธุรกิจเรามีพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียน 2 ชุดคือ 1. ขึ้นทะเบียนนายจ้าง ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยอัตโนมัติพร้อมการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลต่อกรมธุรกิจการค้า 2. ขึ้นทะเบียนลูกจ้างสำหรับจ่ายกองทุนประกันสังคมในครั้งแรก
- เมื่อมีพนักงานใหม่เข้าทำงานในบริษัท ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมภายใน 30 วัน
- ในแต่ละเดือนต้องนำส่งเงินประกันสังคมที่หักจากเงินเดือนพนักงาน พร้อมทั้งจ่ายสมทบเพิ่มให้กับพนักงาน และยื่นต่อสำนักงานประกันสังคมภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ให้เราอ่านให้ฟัง
ต่อจากบทความ สิทธิประกันสังคม สิทธิประโยชน์ที่คนทำงานควรรู้และต้องได้รับ! ที่คนวัยทำงานควรจะต้องทราบกันไปแล้ว สำหรับบทความนี้จะมาพูดถึงในฝั่งของเจ้าของธุรกิจ ว่าควรจะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับประกันสังคมกันบ้างค่ะ
ประกันสังคม ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องทำให้พนักงาน
สิทธิประกันสังคมเป็นสิทธิประโยชน์ร่วมกันระหว่างเจ้าของธุรกิจและพนักงาน โดยเงินที่เจ้าของธุรกิจจ่ายสมทบให้กับพนักงานในแต่ละเดือนถือเป็นหนึ่งในสวัสดิการที่พนักงานจะได้รับเพื่อเป็นการสร้างหลักประกันในการใช้ชีวิตตลอดช่วงทำงาน จนไปถึงเกษียณอายุ
ซึ่งประโยชน์ที่พนักงานได้รับมีถึง 8 เรื่องด้วยกัน คือ
- ค่าหมอ ค่ายา ค่าทำฟัน ยามเจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุ
- ค่าเงินชดเชย กรณีทุพพลภาพ
- ค่าคลอดบุตร
- ค่านมลูก (เงินสงเคราะห์บุตร)
- ค่าใช้จ่ายยามตกงาน
- ค่าจัดงานกรณีเสียชีวิต
- ค่าใช้จ่ายยามเกษียณ
และยังส่งผลดีต่อเจ้าของธุรกิจและภาพลักษณ์ของธุรกิจด้วยคือ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อชีวิตพนักงานของธุรกิจ ซึ่งพนักงานมองว่าเป็นหลักประกันชีวิตขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับ
- เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจ สำหรับการตัดสินใจเลือกเข้าทำงานของพนักงาน
- รักษาพนักงานให้อยู่ทำงานด้วยกันต่อไปในระยะยาว เพราะมั่นใจได้ว่าธุรกิจตั้งใจจะดูแลคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
นั่นก็หมายความว่า เมื่อพนักงานของธุรกิจมีความสุข และมีความมั่นคง ก็ทำให้ธุรกิจดำเนินอย่างมั่นคง ส่งผลต่อลูกค้า และคู่ค้าในเชิงบวกด้วยเช่นกัน
หากยังคิดภาพไม่ออก ลองนึกภาพว่า เรากำลังสร้างครอบครัวที่แข็งแรงและมีความสุข เราก็จะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว
องค์กรในรูปแบบบริษัทก็เช่นกัน หากอยากสร้างองค์กรให้แข็งแรง การมีสวัสดิการที่ดีย่อมช่วยสร้างความมั่นคงให้กับพนักงาน และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้พนักงานตัดสินใจมาทำงานร่วมกับบริษัทเรา
และหากให้พูดตามหลักของกฎหมาย เมื่อกิจการเริ่มมีการจ้างพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป นายจ้างจะต้องเป็นผู้จัดทำประกันสังคมให้กับพนักงานทุกคน เพื่อให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ช่วยเป็นหลักประกันในการดำเนินชีวิต
เจ้าของธุรกิจ ต้องทำอย่างไรเมื่อเริ่มมีพนักงานคนแรก
1. ขั้นตอนแรก เจ้าของธุรกิจต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างภายใน 30 วัน นับจากวันที่เริ่มรับพนักงาน
อัพเดต! จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เมื่อเจ้าของธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development) แล้ว จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้างต่อสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานโดยอัตโนมัติ (ซึ่งจะช่วยลดขั้นการเตรียมเอกสารเพื่อความสะดวกมากขึ้น) เริ่มใช้จริงวันที่ 16 ต.ค. 2019 เป็นต้นไป
2. เจ้าของธุรกิจสามารถใช้เลขนิติบุคคล 13 หลัก ดำเนินการขึ้นทะเบียนลูกจ้าง/ผู้ประกันตน เมื่อมีการจ้างลูกจ้างภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มจ้างงาน ได้ที่สำนักงานประกันสังคมต่อไป
เอกสารที่ต้องใช้ หนังสือนำส่งแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-02) พร้อมใบแนบแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) ของพนักงาน พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน
3. ยื่นข้อมูลเงินสมทบ (ตารางสรุปเงินพนักงานประจำเดือน โดยใส่ข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน, คำนำหน้า, ชื่อ-นามสกุล, ตำแหน่ง, เงินเดือน และเงินสมทบ)
3 ขั้นตอนจัดทำไฟล์ “ข้อมูลเงินสมทบ” ผ่านโปรแกรมจัดการเงินเดือน FlowPayroll
FlowPayroll ช่วยนายจ้างจัดทำไฟล์ข้อมูลอัตราเงินเดือนตามรายชื่อพนักงานได้อย่างรวดเร็ว โดยให้โปรแกรมคำนวณเงินยื่นส่งประกันสังคมได้อัตโนมัติ (หากเป็นกรณีรูปแบบบริษัท เราสามารถนำรายชื่อกรรมการบริษัทออก เนื่องจากกรรมการถือว่าเป็นนายจ้างตามเงื่อนไขของประกันสังคม)
- เข้าใช้งาน FlowPayroll และเลือกเมนู รายการเงินเดือน/ค่าจ้าง
- คลิกปุ่มจุดสามจุด ด้านหลังรายการเงินเดือน
- เลือกเมนู “ดาวน์โหลดไฟล์ยื่นประกันสังคม”
ซึ่งคุณสามารถทดลองใช้งาน FlowPayroll ได้ฟรี 30 วัน ได้ที่เว็บไซต์ FlowAccount แล้วคลิกปุ่มสมัครใช้งานฟรีได้เลย
ขั้นตอนการยื่นข้อมูลเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ 10 นาทีเสร็จ!
ในเดือนถัดๆ ไป เจ้าของธุรกิจก็สามารถเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคมในหัวข้อ “บริการอิเล็กทรอนิกส์” ลดเวลาการเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ และจัดเตรียมเอกสารหลายขั้นตอน เพื่อยื่นข้อมูล ดังนี้
1. ข้อมูลเงินสมทบ
2. แจ้งพนักงานเข้าใหม่ (ส.ป.ส. 1-03)
3. แจ้งพนักงานลาออก (ส.ป.ส. 6-09)
ขั้นตอนยื่นข้อมูลเงินสมทบ
- เข้าสู่ระบบและเลือกเมนู “ส่งข้อมูลเงินสมทบ”
- เลือก วิธียื่นข้อมูลการส่งเงินสมทบ
- เลือกสถานประกอบการ
- เลือกวิธีการนำส่ง กรอกเดือน, ปี, อัตราเงินสมทบ
- เลือกอัพโหลดไฟล์ “ข้อมูลเงินสมทบ”
- สรุปข้อมูลเงินสมทบ
- ส่งข้อมูลเงินสมทบสำเร็จ
- จากนั้นประกันสังคมจะส่งข้อมูลยืนยันตามแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ (สปส.1-10 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2) ผ่านทางอีเมลเพื่อดำเนินการชำระเงินต่อไป
ขั้นตอนยื่นเอกสารพนักงานเข้าใหม่
- เข้าสู่ระบบและเลือกเมนู “ทะเบียนผู้ประกันตน”
- คลิกเลือกข้อ 1 กรณีที่พนักงานเข้าใหม่ไม่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกับทางประกันสังคม คลิกเลือกข้อ 2 กรณีที่ พนักงานเคยขึ้นทะเบียนแล้ว และเลือกสถานพยาบาลเดิม
- เพิ่มข้อมูลพนักงานใหม่ทั้งหมด กรณีพนักงานใหม่ไม่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน
ใส่เลขที่บัตรประชาชน กรณีพนักงานใหม่เลือกสถานพยาบาลเดิม - ตรวจสอบข้อมูล
- ยืนยันบันทึกข้อมูล
อ่านวิธีการจ่ายเงินกองทุนทดแทนต่อที่บทความ มีลูกจ้างแล้ว นายจ้างอย่าลืมทำเอกสารกองทุนเงินทดแทน กท.25 ค ก่อนสิ้นเดือน มี.ค. นี้
เจ้าของธุรกิจต้องจ่ายค่าประกันสังคมเท่าไหร่/เมื่อไหร่
เจ้าของธุรกิจจะต้องจ่ายสมทบประกันสังคมในส่วนที่หักจากพนักงาน และส่วนที่สมทบให้กับพนักงาน ตามแบบ สปส.1-10 (ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2) จะต้องส่งในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หลังจากที่ยื่นเอกสารเพื่อนำส่งประกันสังคมในครั้งแรก
วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
ฐานของเงินค่าจ้างพนักงานขั้นต่ำตั้งแต่ 1,650 บาท แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
พนักงานจะถูกหักจากเงินเดือน 5% + เจ้าของธุรกิจจ่ายสมทบ 5% + รัฐบาลร่วมจ่ายสมทบ 2.75%
(แต่ในบางเดือนทางประกันสังคมจะมีการออกมาตรการลดค่าครองชีพให้กับนายจ้าง เพื่อช่วยให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมน้อยลง เช่น ช่วงเดือน พ.ค. – ก.ค. 2565 ปรับลดเหลือ 1% เป็นต้น)
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจึงออกเงินสมทบประกันสังคมให้ 1 เท่าของเงินที่พนักงานถูกหักออกจากเงินเดือนในแต่ละเดือนตามมาตรา 33 (แต่ในกรณีที่ต้องนำส่งด้วยตัวเองในสถานะฟรีแลนซ์ก็จะยื่นนำส่งในมาตรา 39 โดยมีเงื่อนไขว่า เคยยื่นมาตรา 33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และว่างงานมาไม่เกิน 6 เดือน)
ยกตัวอย่างวิธีคำนวณ
ให้เงินเดือนพนักงาน 18,000 บาท (คำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ดังนั้นเงินประกันสังคมที่จะต้องยื่นคือ 5% เท่ากับ 15,000 x 5% = 750 บาท และทางนายจ้างจ่ายสมทบเพิ่มอีกหนึ่งเท่า รวมเป็น 750+750 = 1,500 บาท
ซึ่งคุณสามารถทดลองใช้งาน FlowPayroll ช่วยคำนวณเงินยื่นส่งประกันสังคมได้อัตโนมัติ ได้ฟรี 30 วัน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับประโยชน์และขั้นตอนการยื่นสิทธิประกันสังคม
1. ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้นายจ้างและลูกจ้างเมื่อไหร่?
ตอบ: นายจ้างมีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง (ด้วยแบบ สปส. 1-01) และขึ้นทะเบียนลูกจ้างคนแรก (ด้วยแบบ สปส. 1-03) ต่อสำนักงานประกันสังคม ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการจ้างลูกจ้างคนแรก. พูดง่ายๆ คือ ทันทีที่ธุรกิจของคุณมีพนักงานคนแรก ก็เกิดหน้าที่ที่ต้องดำเนินการเรื่องประกันสังคมทันที
2. นายจ้างมีหน้าที่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับประกันสังคมในทุกๆ เดือน?
ตอบ: ในทุกๆ เดือนที่มีการจ่ายค่าจ้าง นายจ้างมีหน้าที่หลัก 2 อย่างคือ
– หักเงินสมทบ: คำนวณและหักเงินสมทบประกันสังคมในส่วนของลูกจ้างจากเงินเดือน (ในอัตรา 5%)
– นำส่งเงินสมทบ: จัดทำแบบฟอร์ม สปส. 1-10 ซึ่งระบุรายชื่อลูกจ้างและจำนวนเงินสมทบของแต่ละคน แล้วนำส่งเงินในส่วนของนายจ้างและลูกจ้างให้แก่สำนักงานประกันสังคม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
3. การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมคิดจากอะไร และนายจ้างต้องจ่ายเท่าไหร่?
ตอบ: เงินสมทบจะคำนวณจากฐานเงินเดือนจริงของลูกจ้าง แต่มีเพดานขั้นต่ำและขั้นสูงกำหนดไว้ คือ ฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท. อัตราเงินสมทบคือ 5% ซึ่งทั้ง นายจ้างและลูกจ้างจะจ่ายในจำนวนที่เท่ากัน. ตัวอย่างเช่น หากลูกจ้างมีเงินเดือน 20,000 บาท ฐานที่ใช้คำนวณคือ 15,000 บาท ดังนั้นนายจ้างต้องจ่าย 750 บาท และหักจากเงินเดือนลูกจ้าง 750 บาท รวมเป็น 1,500 บาทนำส่งประกันสังคม
4. เมื่อมีพนักงาน “เข้าใหม่” หรือ “ลาออก” นายจ้างต้องทำอะไรบ้าง?
ตอบ: นายจ้างต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อมูลลูกจ้างให้สำนักงานประกันสังคมทราบเสมอ
โดยสำหรับพนักงานเข้าใหม่ (แจ้งขึ้นทะเบียน) ต้องยื่นแบบ สปส. 1-03 เพื่อขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ลูกจ้างเริ่มงาน ส่วนในกรณีพนักงานลาออก (แจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน) ต้องยื่นแบบ สปส. 6-09 เพื่อแจ้งเอาชื่อลูกจ้างออกจากระบบ โดยต้องยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่ลูกจ้างลาออก
5. หากนายจ้างนำส่งเงินสมทบประกันสังคมล่าช้า จะมีผลอย่างไร?
ตอบ: การนำส่งเงินสมทบล่าช้ากว่าวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จะทำให้นายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ “เงินเพิ่ม” ซึ่งเป็นค่าปรับที่คำนวณใน อัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของจำนวนเงินสมทบที่ยังไม่ได้นำส่งหรือส่วนที่ขาดไป ดังนั้น การวางแผนและนำส่งให้ตรงเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

คนขี้สงสัย ชอบค้นหาคำตอบ ด้วยการสืบค้นจากแหล่งที่มาต่างๆ และโจทย์ต่อจากนี้คือ ทำบัญชีให้เป็นเรื่องเข้าใจง่ายได้อย่างไร