พ่อแม่มีหลายบริษัท แต่ลูกอาจไม่เก่ง แล้วจะส่งต่อกิจการสู่รุ่นอย่างไร

พ่อแม่มีหลายบริษัท แต่ลูกอาจไม่เก่ง แล้วจะส่งต่อกิจการสู่รุ่นลูกอย่างไร

เมื่อลูกหลานไม่มีความสามารถมากพอ เป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนรู้ดี แต่ไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะไม่อยากคนอื่นมองว่าไม่รักลูกเสียแล้วจึงไม่ส่งต่อธุรกิจให้ปัญหานี้มีแนวทางแก้ไข สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่วางใจว่าลูกสุดที่รักจะรับช่วงต่อธุรกิจได้ดีพอ ลองมาดูแนวทางกันค่ะ

ถ้าเลือกได้ ใครๆ ก็อยากส่งต่อธุรกิจที่รักไปให้ลูกหลาน แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อลูกหลานไม่มีความสามารถมากพอ นี่เป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนรู้ดี แต่ไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะไม่อยากให้ลูกๆ รู้สึกด้อยค่า หรือทำให้คนอื่นมองว่าไม่รักลูกเสียแล้วจึงไม่ส่งต่อธุรกิจให้

ปัญหานี้มีแนวทางแก้ไข สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่วางใจว่าลูกสุดที่รักจะรับช่วงต่อธุรกิจได้ดีพอ ลองมาดูแนวทางกันค่ะ

 

วิธีการส่งต่อกิจการ เมื่อลูกไม่เก่งนัก

 

1. สร้างบริษัท Holding ที่รวมสินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการเอาไว้

 

การสร้าง Holding Company เป็นหนึ่งในวิธี ที่ธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่มักทำ โดยหลักการง่ายๆ คือ การสร้างบริษัทขึ้นมา on top เพื่อถือหุ้นบริษัทย่อยภายใต้วงศ์ตระกูล จากนั้นแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Holding ให้กับลูกๆ 

 

วิธีการส่งต่อกิจการ เมื่อลูกไม่เก่ง

 

อาจจะทำในรูปแบบของการที่บริษัท Holding ถือหุ้น และรอรับปันผลจากบริษัทย่อยๆ หรืออาจจะเป็นผู้สิทธิ์ในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดของกลุ่มกิจการ แล้วให้บริษัทย่อย ใช้สิทธิ์ในสินทรัพย์นั้น หรือให้เช่าใช้ในสินทรัพย์นั้น เพื่อดำเนินกิจการ และหารายได้

 

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มักทำแบบนี้เพราะว่าในทางกฎหมาย นิติบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีความรับผิดแยกออกจากกัน และรับผิดไม่เกินจำนวนมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียน

 

ข้อดีของการทำ Holding Company ลักษณะนี้จะง่ายต่อการบริหารสินทรัพย์ในกิจการ อีกทั้งยังง่ายในการแบ่งปันทรัพย์สินของกิจการให้บริษัทย่อยที่ทำธุรกิจแตกต่างกันใช้ประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น แม้ว่าลูกสุดที่รักไม่ได้บริหารธุรกิจในบริษัทย่อยไหนสักแห่ง แต่ก็ยังมั่นใจว่าเขาจะได้รับเงินปันผลจากบริษัท Holding และยังมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจของครอบครัวอยู่นะ

 

2. หาคนเก่งๆ มาบริหารกิจการแทน

 

การบริหารธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี ต้องเข้าไปคลุกคลีกับธุรกิจเป็นเวลานาน สำหรับบางครอบครัว ลูกๆ ที่ไม่ได้อินกับธุรกิจครอบครัว ก็อาจจะขาดความชำนาญในการทำธุรกิจ ครั้นจะให้พวกเขารับช่วงต่อไปบริหาร ก็ยังไม่มั่นใจว่าเค้าจะอยากทำ หรือจะทำได้จริงๆ หรือไม่ แล้วพ่อแม่จะทำยังไงดีล่ะ

 

หาคนเก่งมาบริหารกิจการแทน

 

อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับธุรกิจครอบครัว ในกรณีที่ลูกไม่อยากทำธุรกิจต่อจากที่บ้าน หรือลูกไม่มีความชำนาญในธุรกิจด้านนั้นๆ การจ้างมืออาชีพมาบริหารกิจการ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และเหมาะสมมากกว่าเพราะว่า

  1. มืออาชีพจะช่วยเรา ในการบริหารงานได้ดียิ่งกว่า ส่วนลูกๆนั้น อาจจะให้เรียนรู้จากมืออาชีพ แล้วค่อยต่อยอดไปเป็นผู้บริหารในอนาคตได้
  2. ในกรณีที่ลูกๆ ไม่อยากทำธุรกิจเลย ก็สามารถยกธุรกิจให้มืออาชีพมาบริหารงานได้ โดยจัดสรรปันส่วนการถือหุ้นให้ลูกแทน และอาจมองหาพาร์ทเนอร์ที่เชื่อใจได้ มาช่วยในการบริหารธุรกิจ
  3. จ้างคนที่มีศักยภาพมาบริหาร สร้างการเติบโตได้ดีกว่า เนื่องจากมืออาชีพมีการอัพเดทข้อมูลในอุตสาหกรรมอยู่เสมอ เรียกได้ว่าคุ้นมือมากกว่า สร้างการแข่งขันที่ดีกว่าได้
  4. จ้างคนนอก ไม่โอเคก็สามารถเปลี่ยนได้ การจ้างมืออาชีพภายนอกมาบริหาร หากในอนาคต ต้องแยกทางกัน เราก็สามารถเปลี่ยนตัวผู้บริหารได้ เรียกได้ว่า คนเปลี่ยนได้ แต่ธุรกิจต้องไปต่อ

 

แม้ลูกไม่เก่งแต่ก็สามารถวางระบบการบริหารให้ดีตั้งแต่วันนี้

 

จากหัวข้อก่อนหน้า เรามีเกริ่นไปนิดนึงแล้วว่า หากรุ่นลูกไม่มีความพร้อม หรือไม่มีความชำนาญในธุรกิจ ก็สามารถจ้างมืออาชีพมาช่วยบริหารแทนได้ แล้วให้ลูกเรียนรู้จากมืออาชีพต่ออีกทีนึง

แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีระบบที่ดี ที่มีความพร้อมในการส่งต่อกิจการด้วย เอ๊ะ!! แล้วระบบที่ดี ต้องเป็นยังไงบ้างนะลองมาดูกัน

 

1. ระบบการควบคุมภายในที่ดี มีส่วนสำคัญในการส่งต่อธุรกิจ 

 

โดยธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่ง มักจะมองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า การมีระบบ มีจุดควบคุม ทำให้งานเพิ่มมากขึ้น ขั้นตอนการทำงานเยอะขึ้น ยุ่งยากมากขึ้น แต่หารู้ไม่ การมีระบบที่ดี จะช่วยป้องกันข้อผิดพลาด และช่วยให้คนที่มาสานงานต่อ เข้าใจการดำเนินงานได้ง่ายขึ้น เพราะมีระบบการดำเนินงานที่ดี และเป็นระเบียบอยู่แล้วยังไงล่ะ

 

ยกตัวอย่างเช่น ระบบการควบคุมภายในเกี่ยวกับการอนุมัติการสั่งซื้อ หรืออนุมัติการเบิกจ่าย ช่วยป้องกันการทุจริตจากพนักงานในองค์กรได้

 

2. โปรแกรมหลังบ้านที่ดี ช่วยให้บริหารจัดการได้ง่ายขึ้น

 

อีกหนึ่งสิ่ง ที่ธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งมักมองข้ามไป คือ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในธุรกิจ ในบางกิจการ ผู้ก่อตั้งรุ่นพ่อแม่ ปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยุคไม่มีเทคโนโลยี บางคนไม่คุ้นชิน และยังใช้การจดบันทึกแบบกระดาษอยู่

 

แต่ไม่ว่ายังไง สักวันนึงการเข้ามาทดแทนของเทคโนโลยี (Technology Disruptive) ก็ต้องมาถึงอยู่ดี และอยากบอกตรงนี้เลยว่า อยากให้คนรุ่นหลังลองเปิดใจ หันมาใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยธุรกิจดูบ้าง จะทำให้งานดูง่ายขึ้น จัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมจัดการหลังบ้าน ที่ช่วยควบคุมระบบการซื้อ ขาย สต็อกสินค้า และเก็บข้อมูลเรื่องภาษี ซึ่งเมื่อวางระบบแบบนี้ ในกรณีที่ไม่ได้มาลงมือบริหารเอง ลูกๆ ก็ยังสามารถเช็กผลประกอบการบริษัทได้เพียงไม่กี่พริบตา

 

FlowAccount เองก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ เข้ามาทำงานร่วมกับผู้บริหารที่จ้างมา เพิ่มความโปร่งใส และช่วยให้มีระบบการทำงานหลังบ้านที่ดี สนใจโปรแกรม FlowAccount สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://flowaccount.com/

 

สรุปแล้วพ่อแม่จะปูพื้นฐานให้ลูกสานต่อกิจการอย่างไร

 

ปูพื้นฐานให้ลูกสานต่อกิจการอย่างไร

 

การส่งต่อธุรกิจให้ลูกหลานนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราต้องบังคับให้พวกเค้าทำงานที่ไม่ถนัดในบริษัทเสมอไป ช่องทางการส่งต่อธุรกิจนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำบริษัท Holding หรือจ้างคนมีความสามารถมาบริหารธุรกิจแทน เพราะสุดท้ายแล้ว แม้ลูกจะไม่เก่งพอที่จะทำธุรกิจ แต่พวกเค้าก็ยังมีสิทธิ์ได้รับความมั่งคั่งต่อจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่อยู่แล้วแบบ 1000% จริงไหมคะ

About Author

ลองใช้งานFlowAccount ฟรี 30 วันได้ง่ายๆ วันนี้
ลองใช้งานฟรีได้ง่ายๆ วันนี้
สมัครเลย

You may also like