ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) บังคับใช้แล้ว บัญชีฝาก-โอนเงินเกิน 3,000 ครั้ง/ปี

ภาษีอีเพย์เมนต์

ข่าวคราวเรื่องการเก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ว่าทางกรมสรรพากรจะตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารซึ่งมีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ได้มีการประกาศบังคับใช้จริงแล้ว โดยกฎหมายนี้มีชื่อว่ากฎหมาย ภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) ) หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562

ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ไม่ว่าจะโอน จ่าย หรือรับเงิน ผ่าน Mobile Banking และ e-Wallet กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับกฎหมายที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ต้องรายงานข้อมูลบัญชีธุรกรรมเฉพาะต่อกรมสรรพากร ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีความโปร่งใส โดยรายละเอียดเงื่อนไขของบัญชีธุรกรรมที่เข้าข่ายรายงานสามารถติดตามได้ในบทความนี้


เลือกอ่านได้เลย!

ให้เราอ่านให้ฟัง



ภาษี e-Payment คืออะไร?


ภาษี e-Payment คือ มาตรการที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ต้องเก็บและรายงานข้อมูลบัญชีต่อกรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน ฝากเงิน หรือรับเงินผ่านธนาคารและผู้ให้บริการทางการเงินต่าง ๆ มาตรการนี้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และต้องส่งข้อมูลภายในเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเป้าหมายหลักของภาษีอีเพย์เมนต์ คือทำให้การยื่นภาษีออนไลน์มีความสะดวก โปร่งใส และตรวจสอบได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่รองรับพฤติกรรมทางการเงินยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ


เงื่อนไขในการส่งข้อมูลบัญชีให้กรมสรรพากร

  • มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชี ตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่าจะรับครั้งละกี่บาทก็ตาม
  • ฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันตั้งแต่ 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป ซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนมูลค่าของเงินที่รับฝากหรือโอน

กรมสรรพากรจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • เลขประจำตัวประชาชน
  • ชื่อ-สกุล
  • เลขที่บัญชีเงินฝาก
  • จำนวนครั้งของการฝากหรือโอนรับเงิน
  • ยอดรวมของการฝากหรือโอนรับเงิน

ข้อมูลธุรกรรมเฉพาะที่กำหนดจะนับเฉพาะการฝากหรือรับโอนเงินเฉพาะขารับรวมกันทุกบัญชีใน 1 ปี ไม่รวมการโอนออกหรือถอนออก และไม่นับบัญชีต่างธนาคารกัน เช่น หากเปิดบัญชีธนาคาร A 5 บัญชี และธนาคาร B อีก 3 บัญชี แต่ละธนาคารก็จะนับเฉพาะยอดฝากหรือโอนเงินของธนาคารตัวเอง ไม่ไปนับยอดจากบัญชีอีกธนาคารหนึ่ง

หากบัญชีของธนาคารไหนมีเงื่อนไขตรงตามที่กรมสรรพากรกำหนด ก็จะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร ซึ่งถ้าเจ้าของบัญชียังเสียภาษีไม่ถูกต้อง ก็มีหน้าที่ต้องมาเสียภาษีให้ถูกต้อง



คนค้าขายออนไลน์ต้องเตรียมตัวอย่างไรกับการยื่นภาษีออนไลน์ ตามกฎหมายภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment)


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกคนมีหน้าที่ในการเสียภาษีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ซึ่งยื่นภาษีออนไลน์ ตามกฎหมายภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) ไม่ได้ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเพิ่มขึ้น

แต่เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่หน่วยงานภาครัฐจะใช้ในการตรวจสอบข้อมูล ดังนั้นผู้ที่มีบัญชีตรง หรือไม่ตรงเงื่อนไข ก็ยังคงต้องเสียภาษีประจำปี และอาจจะมีการตรวจสอบข้อมูลในทางอื่นๆ

ส่วนใครที่ยังไม่เคยเริ่มยื่นภาษีออนไลน์ หรือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็ต้องลองเริ่มจากการหัดทำบัญชีก่อน

  • เก็บหลักฐานทุกเม็ด: เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้า การทำธุรกรรมทางการเงิน จะเล็กจะน้อย หรือมากแค่ไหน อย่าละเลย เก็บให้เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมู่ เพราะต้องใช้ในเวลาที่จะยื่นแบบภาษี
  • ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับภาษีให้ดี: คนทำธุรกิจมีหน้าที่ที่จะต้องรู้ว่าประเภทธุรกิจที่ทำอยู่มีภาษีอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง เช่น เป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วหรือไม่ ฯลฯ หากเพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่อยากให้เก็บเอกสารไว้อย่างครบถ้วน แล้วรวบรวมไปขอคำปรึกษาการทำบัญชี ยื่นภาษีออนไลน์ และเสียภาษี กับสำนักงานบัญชี หรือพนักงานบัญชีอิสระ หากไม่รู้ว่าจะเลือกสำนักงานบันชีอย่างไรดี ให้ FlowAccount ช่วยหาสำนักงานบัญชีมืออาชีพให้คุณได้ ฟรี แบบไม่มีค่าใช้จ่าย
  • ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายไว้ไม่เสียหาย ทำไว้ก่อนอุ่นใจดี ทำให้ละเอียดเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้ายังทำไม่เป็น ลองเริ่มต้นหัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายผ่านโปรแกรมบัญชีที่ช่วยบันทึกค่าใช้จ่าย และแสดงรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนให้ดูได้อย่างง่ายๆ


ช่วยบันทึกค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนขึ้น ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์

เพื่อลดความกังวลเกี่ยวภาษีอีเพย์เมนต์ การบันทึกรายรับ–รายจ่ายให้ครบถ้วนและตรวจสอบได้ กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจทุกคน เพราะข้อมูลทางการเงินที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อต้องยื่นภาษีได้ แต่แม้จะเป็นเจ้าของธุรกิจเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการงานบัญชีได้ด้วย FlowAccount โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่เป็นคลาวด์สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลทั้งบนเว็บไซต์และมือถือได้ ช่วยให้เปิดบิลได้ครบทุกประเภท และบันทึกค่าใช้จ่ายได้ทันทีแม้อยู่นอกออฟฟิศ

  • เมนูเอกสารขาย–ซื้อ การทำเอกสารไม่ใช่แค่เรื่องธุรการ แต่คือการทำบัญชีตั้งแต่ก้าวแรก FlowAccount มีเอกสารธุรกิจครอบคลุมทั้งใบเสนอราคา, ใบแจ้งหนี้, ใบกำกับภาษี, และใบเสร็จ เพียงเลือกเมนูตามต้องการแล้วกรอกข้อมูล ระบบจะบันทึกลงบัญชีให้อัตโนมัติ ทำให้คุณมีหลักฐานพร้อมเมื่อต้องยื่นภาษี และช่วยให้จัดการเอกสารซื้อ–ขายได้อย่างแม่นยำ
  • เมนูค่าใช้จ่าย ทุกค่าใช้จ่ายของธุรกิจควรถูกบันทึกอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถจัดการได้ เพียงถ่ายรูปบิลหรือใบเสร็จแล้วอัพโหลดเข้าสู่ระบบ FlowAccount จะช่วยแยกค่าใช้จ่ายให้เป็นหมวดหมู่อัตโนมัติ ทำให้ติดตามต้นทุนและควบคุมรายจ่ายได้สะดวกขึ้น
  • Dashboard สรุปภาพรวมธุรกิจ สามารถแสดงข้อมูลรายได้และค่าใช้จ่ายทั้งตามเอกสารและตามการรับ–จ่ายจริงแบบเรียลไทม์ จึงสามารถเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน ทำให้ช่วยตัดสินใจด้านการเงินได้แม่นยำมากขึ้น

เริ่มต้นจัดการธุรกิจของคุณแต่วันนี้ เพื่อให้การเงินโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีอีกต่อไป


ภาษี e-Payment ถือเป็นมาตรการของกรมสรรพากรในการติดตามข้อมูลธุรกรรมออนไลน์ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีโปร่งใสและยื่นภาษีออนไลน์สะดวกขึ้น สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัล ที่อยากจัดการรายรับ–รายจ่ายให้ชัดเจน ลดความผิดพลาด FlowAccount สามารถช่วยให้การทำบัญชีของคุณง่ายขึ้นได้ เพราะสามารถบันทึกธุรกรรมอัตโนมัติ จัดหมวดหมู่รายรับ–รายจ่ายอย่างเป็นระบบ และสรุปข้อมูลให้พร้อมยื่นภาษีได้ง่าย ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าเรื่องภาษี e-Payment จะไม่เป็นเรื่องยุ่งยากอีกต่อไป



คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ภาษี e-Payment และการส่งข้อมูลให้สรรพากร


1. กฎหมายภาษี e-Payment คืออะไร? ใครต้องถูกส่งข้อมูลให้สรรพากร?

ตอบ: คือกฎหมายที่กำหนดให้ธนาคารและผู้ให้บริการ e-Wallet ต้องรายงานข้อมูลบัญชีที่มี “ธุรกรรมเฉพาะ” ให้กรมสรรพากร โดยจะนับเฉพาะยอดรับโอนหรือฝากเข้า ไม่นับยอดโอนออก บัญชีที่เข้าเกณฑ์คือ

  • รับโอน/ฝากเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี (ไม่จำกัดจำนวนเงิน)
  • รับโอน/ฝากเงิน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี

2. สรรพากรจะได้รับข้อมูลอะไรจากธนาคารบ้าง?

ตอบ: กรมสรรพากรจะได้รับข้อมูลสำคัญ 4 อย่าง ได้แก่ 1) เลขประจำตัวประชาชน 2) ชื่อ-สกุลเจ้าของบัญชี 3) เลขที่บัญชี และ 4) จำนวนครั้งและยอดรวมของเงินที่โอนเข้าบัญชีในปีนั้นๆ

3. การถูกส่งข้อมูลให้สรรพากร หมายความว่าต้องเสียภาษีเพิ่มใช่ไหม?

ตอบ: ไม่ใช่ การส่งข้อมูลเป็นเพียงช่องทางการตรวจสอบของสรรพากร ทุกคนที่มีรายได้มีหน้าที่ยื่นภาษีอยู่แล้ว หากคุณยื่นภาษีและชำระภาษีอย่างถูกต้องครบถ้วน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล กฎหมายนี้ไม่ได้ทำให้คุณต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

4. พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องเตรียมตัวรับมือกับภาษี e-Payment อย่างไร?

ตอบ: ควรเริ่มต้นทำ “บัญชีรายรับ-รายจ่าย” อย่างละเอียด เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทุกอย่างไว้ และที่สำคัญคือการศึกษาเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเอง หากไม่แน่ใจควรปรึกษานักบัญชี เพื่อวางแผนและยื่นภาษีให้ถูกต้อง

5. ถ้ารับเงินหลายบัญชี หลายธนาคาร จะถูกนับยอดรวมกันหรือไม่?

ตอบ: ไม่นับรวมกัน ธนาคารแต่ละแห่งจะนับจำนวนครั้งและยอดเงินรวมเฉพาะบัญชีของธนาคารตนเองเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีบัญชีที่ธนาคาร A และ B ธนาคาร A จะไม่นำข้อมูลของธนาคาร B มารวมในการพิจารณาส่งข้อมูลให้สรรพากร

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ