ค่าเสื่อมราคา คืออะไร? ทำไมคนทำธุรกิจต้องรู้ พร้อมวิธีคำนวณ

ค่าเสื่อมราคา

คำว่า “ค่าเสื่อมราคา” ถือเป็นคำยอดฮิตที่เจ้าของกิจการได้ยินอยู่บ่อย ๆ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าค่าเสื่อมราคาคืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อธุรกิจ ในความเป็นจริงแล้วค่าเสื่อมราคาไม่ใช่เพียงตัวเลขที่นักบัญชีมโนขึ้นมาในงบการเงิน แต่ค่าเสื่อมราคาสะท้อนถึงการใช้งานและมูลค่าที่ลดลงของสินทรัพย์ถาวร ซึ่งช่วยให้บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้สินทรัพย์ถาวรได้ตรงตามความเป็นจริง และที่สำคัญค่าใช้จ่ายนี้ยังเป็นรายจ่ายทางภาษี ที่ทำให้เราเสียภาษีลดลงอีกด้วย แล้วเจ้าของธุรกิจต้องรู้อะไรเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาบ้าง ลองมาอ่านกันในบทความนี้เลย


สินทรัพย์ถาวร คืออะไร?


ก่อนจะไปทำความรู้จักค่าเสื่อมราคา ลองทำความเข้าใจคำว่า สินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets) กันก่อน เพราะค่าเสื่อมราคาจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกิจการซื้อสินทรัพย์ถาวรเข้ามาในบริษัท

สินทรัพย์ถาวร คือ ทรัพย์สินที่กิจการซื้อมาเพื่อใช้ในกิจการ และมีอายุการใช้งานเกินกว่า 1 ปี ดังนี้

  • อาคาร โรงงาน สำนักงาน
  • เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต
  • คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน
  • ยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก
  • เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้

สินทรัพย์ถาวร คือ


จะสังเกตได้ว่าสินทรัพย์ถาวรเนี่ย มีราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ถ้าสมมติบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อนในปีแรกที่ลงทุน ก็จะกลายปีว่าปีนั้นขาดทุนทันทีเลย ซึ่งไม่สะท้อนสภาพความเป็นจริงของธุรกิจใช่ไหม ดังนั้น คำว่า “ค่าเสื่อมราคา” จึงถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราคำนวณค่าใช้จ่ายจากสินทรัพย์นี้ในแต่ละปีได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น



ค่าเสื่อมราคา คืออะไร?


ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือ ค่าใช้จ่ายที่สะท้อนการลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ถาวรตามการใช้งาน เวลา หรือความเสื่อมสภาพ ที่ถูกคำนวณมาอย่างเป็นระบบ

ตัวอย่าง

สมมติซื้อรถมาคันนึงราคา 1,000,000 บาท แทนที่จะบันทึกค่าใช้จ่าย 1,000,000 บาทครั้งเดียวเมื่อซื้อ เราจะคำนวณค่าเสื่อมราคาและบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเป็นงวดๆ ตามอายุการใช้งาน เช่น ถ้ารถอายุการใช้งาน 10 ปี คิดค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง จะเกิดค่าใช้จ่ายปีละ 100,000 บาท 



ทำไมต้องคิดค่าเสื่อมราคา?


การคิดค่าเสื่อมราคาไม่ได้ทำเพียงเพื่อให้งบดูสวยงาม ไม่ขาดทุนในปีแรกๆ แต่สาเหตุที่นักบัญชีต้องคิดค่าเสื่อมราคาก็เพราะ


1. สะท้อนมูลค่าสินทรัพย์ที่แท้จริง
ถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา สินทรัพย์นั้นก็จะแสดงราคาเดิมตลอดไป ทำให้เราไม่มีทางรู้มูลค่าสินทรัพย์ที่แท้จริงเลย


2. ช่วยในการคำนวณกำไรขาดทุนที่ถูกต้อง
กำไรขาดทุน คำนวณมาจากสมการ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรหรือขาดทุน ค่าเสื่อมราคาจะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย ทำให้กำไรสุทธิลดลงอย่างเหมาะสม


3. เป็นค่าใช้จ่ายที่หักภาษีได้
กรมสรรพากรไม่ยอมให้ธุรกิจใช้ราคาสินทรัพย์ทั้งก้อนเป็นค่าใช้จ่าย แต่อนุญาตให้นำค่าเสื่อมราคาไปหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ทำให้ธุรกิจเสียภาษีน้อยลง 


4. ใช้วางแผนการลงทุนในอนาคต
การบันทึกค่าเสื่อมราคาทำให้ธุรกิจรู้ว่าสินทรัพย์ตัวไหนมูลค่าลดลงมาก ใกล้หมดอายุการใช้งานแล้ว จะได้เตรียมตัวกันงบรอซื้อของใหม่มาเปลี่ยนแทน



ประเภทของค่าเสื่อมราคา


โดยหลักทั่วไป ค่าเสื่อมราคาสามารถแบ่งออกได้หลายวิธี แต่ที่ใช้กันบ่อยมีดังนี้


1. วิธีเส้นตรง (Straight-Line Method) ตัดค่าเสื่อมราคาเท่า ๆ กันทุกปีจนกว่าจะครบอายุการใช้งาน

เหมาะกับ: สินทรัพย์ที่มีการใช้งานและมูลค่าลดลงอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้

  • อาคารสำนักงาน
  • เครื่องจักรที่ใช้ผลิตในปริมาณคงที่
  • เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน
  • รถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป

2. วิธีจำนวนการใช้งาน (Units of Production Method) คิดตามจำนวนครั้งหรือชั่วโมงที่ใช้งานจริง เหมาะกับเครื่องจักรที่รู้จำนวนชั่วโมงการใช้งานจริง ต่อจำนวนการใช้งานทั้งหมดตลอดอายุ

เหมาะกับ:

  • เครื่องจักรในโรงงานที่ผลิตไม่เท่ากันในแต่ละงวด
  • ยานพาหนะขนส่งสินค้าที่วิ่งระยะทางไม่แน่นอน
  • อุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะในบางฤดูกาล

3. วิธีอัตราลดลง (Declining Balance Method) คิดค่าเสื่อมราคามากในปีแรก ๆ และลดลงเรื่อย ๆ ในปีหลัง

เหมาะกับ: สินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในช่วงเริ่มต้น แต่เสื่อมค่าเร็วตามเทคโนโลยีหรือการใช้งาน ดังนี้

  • เครื่องจักรที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • คอมพิวเตอร์ หรือเซิร์ฟเวอร์

4. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum-of-years-digits) ใช้เมื่อต้องการตัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงต้นอายุการใช้งาน

เหมาะกับ: สินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในช่วงเริ่มต้น แต่เสื่อมค่าเร็วตามเทคโนโลยีหรือการใช้งาน เช่นเดียวกับสินทรัพย์ที่ใช้วิธีอัตราลดลง (Declining Balance Method) 


ทั้งนี้ สุดท้ายแล้วกิจการเราจะเลือกคำนวณค่าเสื่อมราคาตามวิธีไหน อาจจะคำนึงทั้งความเหมาะสมไปพร้อมกับ เครื่องมือการคำนวณและต้นทุนเวลาประกอบกัน



วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา


ถัดมาเราลองมาดูวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาในแต่ละแบบกัน เผื่อว่าเจ้าของธุรกิจจะตัดสินใจเลือกนโยบายคำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่ายขึ้น 


ตัวอย่าง

ซื้อเครื่องจักรมาราคา 500,000 บาท คิดว่ามีมูลค่าซาก 50,000 บาท และอายุการใช้งาน 5 ปี


วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา


ข้อสังเกต: จากตารางตัวอย่างการคำนวณข้างบนจะพบว่า

  • วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาที่ง่ายที่สุด คือ วิธีเส้นตรง (Straight-line)
  • ส่วนวิธีผลผลิต/ชั่วโมงการใช้ (Units of production) สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มเติม คือ ปริมาณใช้จริงในแต่ละปีและปริมาณใช้งานรวมของเครื่องจักรดังกล่าว 
  • วิธีอัตราลดลง (Declining Balance Method) และวิธีผลรวมจำนวนปี (Sum-of-years-digits) ค่าเสื่อมราคาในปีแรกจะสูงที่สุด และจะลดลงในปีถัดไป

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 วิธีจะคำนวณค่าเสื่อมราคาสะสมรวมได้ทั้งหมดจนถึงปีสุดท้ายเท่ากับ 450,000 บาท ความแตกต่างของการเลือกวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาเป็นเพียงแค่การเลือกว่าในปีแรกๆ ต้องการให้ตัดค่าใช้จ่ายสูงหรือต่ำ แบบใดเหมาะสมกับกิจการมากกว่า และโดยทั่วไปแล้วธุรกิจส่วนใหญ่ในโลกนี้ ใช้วิธีค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรงเป็นหลัก เพราะง่ายต่อการทำความเข้าใจ และที่สำคัญโปรแกรมบัญชีมักจะรองรับการคำนวณวิธีนี้เป็นหลักด้วยนั่นเอง



ความสำคัญของค่าเสื่อมราคาต่อธุรกิจ 


ค่าเสื่อมราคาไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีที่ต้องบันทึกทุกปีเท่านั้น ค่าเสื่อมราคามีความสำคัญมากในการทำบัญชีและงบการเงินของธุรกิจในมุมมองแตกต่าง ดังนี้

1. สะท้อนต้นทุนแท้จริงของสินทรัพย์

SMEs ที่ลงทุนซื้อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์จำนวนมาก แล้วอยากจะขายออกไป เพื่อซื้อสินทรัพย์ใหม่มาเปลี่ยนแทน การคิดค่าเสื่อมราคาทำให้เรามองเห็นต้นทุนการใช้งานแท้จริงในแต่ละปีและมูลค่าที่คงเหลือ เพื่อตีราคาขายสินทรัพย์ได้แบบไม่ต้องนั่งเทียน


2. ช่วยให้ตั้งราคาสินค้าและบริการได้แม่นยำมากขึ้น

สำหรับธุรกิจที่ลงทุนในสินทรัพย์จำนวนมาก อย่างเช่น ธุรกิจผลิตสินค้า คาเฟ่สวยๆ หรือโรงพยาบาล ค่าเสื่อมราคาเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่มีผลกระทบชัดเจนต่อกำไรสุทธิ ดังนั้น การตั้งราคาขายก็ควรครอบคลุมถึงค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีด้วย


3. นโยบายการคิดค่าเสื่อมราคามีผลต่อกำไร

ธุรกิจบางแห่งเลือกตัดค่าเสื่อมราคาแบบวิธีอัตราลดลง (Declining Balance Method) และวิธีผลรวมจำนวนปี (Sum-of-years-digits) ทำให้กำไรช่วงแรกน้อย (ภาษีน้อย) แต่ช่วงหลังอาจมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจที่คิดค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง


4. การประเมินมูลค่าซากและอายุการใช้งาน
ถ้ากำหนดผิดพลาด กำไรสุทธิจะไม่สะท้อนความจริง ทำให้การวิเคราะห์งบการเงินผิดเพี้ยนไป


5. เมื่อตัดค่าเสื่อมราคาหมดแล้วควรเช็กว่ากิจการต้องตัดทรัพย์สินถาวรออกจากบัญชีไหม
เมื่อตัดค่าเสื่อมราคาหมดแล้ว ในทางบัญชีมองว่าสินทรัพย์น่าจะใช้จนครบอายุขัยแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าของธุรกิจก็ต้องสำรวจสินทรัพย์ดังกล่าวว่ายังมีอยู่ และใช้งานได้อยู่หรือไม่ หรือว่าควรตัดทรัพย์สินนี้ออกจากบัญชีไปได้แล้ว


6. การเปลี่ยนนโยบายการคิดค่าเสื่อมราคา

โดยทั่วไปธุรกิจสามารถเปลี่ยนวิธีคิดค่าเสื่อมราคาได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คนอ่านงบก็มักจะตั้งคำถามว่า “เปลี่ยนเพราะเหตุผลธุรกิจจริง ๆ หรือเพื่อตกแต่งกำไร”


7. ช่วยในการวิเคราะห์กระแสเงินสด
แม้ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน แต่เป็น “ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ตัวเงิน” ทำให้เมื่อบวกกลับเข้าไปในกระแสเงินสด จะเห็นว่าธุรกิจยังมีเงินสดจริงเหลือใช้ในการลงทุนต่อเท่าใดบ้าง


8. ประเด็นภาษีที่ต้องระวัง
แม้ว่าค่าเสื่อมราคาจะเป็นรายจ่ายธุรกิจก็จริง แต่ไม่ควรนำสินทรัพย์ส่วนตัวมาเข้าบัญชีบริษัทเพื่อตัดค่าเสื่อมราคา เพราะถือเป็น “รายจ่ายต้องห้าม” ทางภาษีและยังทำให้ข้อมูลบัญชีบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอีก นอกจากนี้ในหลักการคำนวณค่าเสื่อมราคาทางภาษีอาจจะแตกต่างจากหลักการบัญชี ซึ่งถ้าหากคำนวณทางบัญชีแล้วมีค่าใช้จ่ายมากกว่าทางภาษี จะต้องบวกกลับเพราะเป็น “รายจ่ายต้องห้าม” ทางภาษีด้วยเช่นกัน


“ค่าเสื่อมราคา” เป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจควรทำความเข้าใจ เพราะไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่ทุกการลงทุนในทรัพย์สินถาวรย่อมเกิดค่าเสื่อมราคาขึ้นเสมอ และถ้าเลือกวิธีผิด หรือคำนวณผิดไป ก็จะทำให้กำไรที่แท้จริงของธุรกิจผิดเพี้ยนไปด้วยอย่างแน่นอน สำหรับใครที่อยากใส่ใจเก็บข้อมูลทรัพย์สินถาวรทั้งหมด และคำนวณค่าเสื่อมราคาธุรกิจได้แบบอัตโนมัติ ลองใช้ FlowAccount โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีฟังก์ชั่นสินทรัพย์ถาวรและช่วยคำนวณค่าเสื่อมราคาง่ายๆ ได้ในคลิกเดียวได้



คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับค่าเสื่อมราคา


1. ถ้าไม่บันทึกค่าเสื่อมราคาจะเกิดอะไรขึ้น?

ตอบ: งบกำไรขาดทุนจะสูงกว่าความเป็นจริง เพราะไม่ได้ตัดต้นทุนการใช้สินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด ส่งผลให้ต้องเสียภาษีมากขึ้น นอกจากนี้งบแสดงฐานะการเงินจะแสดงมูลค่าสินทรัพย์สูงเกินจริงอีกด้วย 


2. ค่าเสื่อมราคาต่างจากค่าใช้จ่ายอย่างไร?

ตอบ: ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งในงบกำไรขาดทุน ซึ่งช่วยกระจายต้นทุนของสินทรัพย์ถาวรออกเป็นงวด ๆ 


3. ถ้าขายสินทรัพย์ไปก่อนครบกำหนด จะคิดค่าเสื่อมราคาอย่างไร?

ตอบ: ให้คำนวณค่าเสื่อมราคาสิ้นสุดจนถึงวันที่ขาย เช่น รถยนต์ 500,000 บาท ไม่มีราคาซาก ใช้งานได้ 5 ปี ใช้ไปแล้ว 4 ปีจึงขายออกไป จะคำนวณค่าเสื่อมราคาถึงปีที่ 4 เท่านั้น 


4. ถ้าขายสินทรัพย์ไปก่อนครบกำหนด จะคิดกำไรขาดทุนจากการขายอย่างไร?

ตอบ: กำไรหรือขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ = ราคาขาย − มูลค่าตามบัญชี ณ วันขาย 


ตัวอย่าง 

รถยนต์ 500,000 บาท ไม่มีราคาซาก ใช้งานได้ 5 ปี ใช้ไปแล้ว 4 ปีจึงขายออกไป จะคำนวณค่าเสื่อมราคาถึงแต่ปีที่ 4 ทำให้มูลค่าสินทรัพย์คงเหลือ = 500,000 – 400,000 = 100,000 บาท หากขายออกไปในราคา 200,000 บาท กำไรหรือขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ = 200,000 – 100,000 = 100,000 บาท


5. จะแก้ไขค่าเสื่อมราคาที่บันทึกผิดทำได้อย่างไรบ้าง?

ตอบ: หากเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปี ให้แก้ไขการบันทึกบัญชีทันที แต่ถ้าเป็นความผิดพลาดในปีก่อนๆ อาจต้องแก้ไขงบย้อนหลังตามมาตรฐานบัญชี แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนประมาณการ เช่น ปรับอายุการใช้งาน ให้ปรับแบบเริ่มจากงวดปัจจุบันเป็นต้นไป โดยมีการอธิบายเหตุผลในหมายเหตุประกอบงบการเงิน


About Author

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ