สิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันอาจมาจากการมีส่วนร่วมในงานและโอกาสในการเติบโต ซึ่งทำให้พนักงานเห็นคุณค่าในองค์กรและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในกิจการได้
พนักงานเปรียบเสมือนบุคคลในครอบครัวที่มีความสำคัญช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า หากองค์กรสามารถดูแลและสร้างความผูกพันกับพนักงานได้อย่างแท้จริง ความสำเร็จในระยะยาวย่อมเกิดขึ้นแน่นอน |
เลือกอ่านได้เลย!
Toggleผลกระทบจากทั่วโลกยุคหลัง Covid-19
การลาออกจากงานกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้พนักงานเริ่มมองหาความเปลี่ยนแปลงในชีวิตการทำงาน และนำไปสู่ปรากฎการณ์ "The Great Resignation" ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก การลาออกสูงสุดเกิดกับพนักงานวัยกลางคนที่มีประสบการณ์ ทำให้หลายกิจการต้องเผชิญกับปัญหาการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ให้ได้
การให้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้นไม่ใช่คำตอบเดียวในการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ ความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กรในระยะยาว สิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันอาจมาจากการมีส่วนร่วมในงานและโอกาสในการเติบโต ซึ่งทำให้พนักงานเห็นคุณค่าในองค์กรและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในกิจการได้
เพราะการดูแลพนักงานในกิจการไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน แต่มันคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน เรามาดูกันว่า 5 ขั้นตอน ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและสร้างความผูกพันกับพนักงานมีอะไรบ้าง
1. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมผลักดันและเติมเต็มพนักงาน
ในยุคที่พนักงานไม่ได้เลือกองค์กรจากค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่มองหาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้เติบโต ทั้งในด้านทักษะ ความคิด และแรงบันดาลใจ วัฒนธรรมองค์กรจึงกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในระยะยาว
วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรงไม่ได้เกิดจากนโยบายหรือคำขวัญเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนผ่านพฤติกรรมของคนในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้นำจนถึงพนักงานหน้างาน เมื่อองค์กรสามารถออกแบบวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีเป้าหมายร่วม และสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันได้ ย่อมเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ทีมเวิร์ก และความภักดีของบุคลากร
เทคนิคในการผลักดันและเติมเต็มใจพนักงาน
-
เป็นผู้นำในบทบาท “โค้ช” มากกว่าผู้ควบคุม
การบริหารแบบ Coaching Leadership ช่วยให้องค์กรเปิดพื้นที่ให้พนักงานแสดงความคิดเห็น ตั้งคำถามที่กระตุ้นการคิด และส่งเสริมให้พนักงานเป็นเจ้าของผลงานของตนเอง ธุรกิจที่ส่งเสริมรูปแบบผู้นำเช่นนี้ จะมีบุคลากรที่มั่นใจ กล้าลอง และมีแนวโน้มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
-
ให้คุณค่ากับทุกความคิดเห็นของพนักงาน
เทคนิค “Voice Circles” เป็นการจัดประชุมที่ให้เวลาสมาชิกทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีการขัดจังหวะ ซึ่งช่วยสร้างวัฒนธรรมการแสดงความเคารพ ความกล้าแสดงออก และลดความเกรงใจที่อาจปิดกั้นไอเดียใหม่ๆ
-
เปลี่ยนการประเมินผลงานเป็นการสนทนาเพื่อการเติบโตของพนักงาน
แทนที่จะเน้นการประเมินผลรายปี ก็เปลี่ยนเป็นคุยทุกๆ 3 เดือน ที่เปิดโอกาสให้พนักงานสะท้อนการเรียนรู้ที่ผ่านมา และกำหนดเป้าหมายการพัฒนาในอนาคต ส่งเสริมให้พนักงานเห็นว่าตนเองกำลัง “เติบโต” มากกว่าแค่ “ถูกตัดสิน”
-
สร้างกิจกรรมวัฒนธรรมเล็กๆ ที่มีผลลัพธ์ยิ่งใหญ่
กิจกรรมประจำ เช่น “Thank You Friday” หรือ “Learning Day” ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงาน ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างทีม และสร้างความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของวัฒนธรรมองค์กร
-
เติมเต็มความเป็นมนุษย์ของพนักงานนอกเหนือจากบทบาทในงาน
องค์กรสามารถเปิดพื้นที่สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ เช่น เวิร์กชอปด้านสุขภาพจิต พูดคุยเรื่องชีวิต หรือโครงการอาสาสมัคร เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจและให้คุณค่ากับเขาในฐานะ “มนุษย์” ไม่ใช่เพียง “ทรัพยากร”
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคำพูดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการกระทำที่จริงใจและสม่ำเสมอ เมื่อองค์กรสามารถออกแบบวัฒนธรรมที่พร้อมผลักดันและเติมเต็มพนักงานได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ทีมที่มีพลัง มีทิศทางที่ชัดเจน และมีความภักดีที่เกิดขึ้นจากใจจริง
2. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ทำให้พนักงานยิ้มได้
“เพราะความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ สามารถเปลี่ยนความรู้สึกต่อองค์กรได้อย่างมหาศาล”
ในยุคที่การแข่งขันในการดึงดูดและรักษาคนเก่งมากขึ้น “เงินเดือน” อาจไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป พนักงานในปัจจุบันให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ความยืดหยุ่น และความรู้สึกว่าองค์กร “ใส่ใจจริง” มากกว่าทำเพื่อภาพลักษณ์
สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจพนักงาน เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สร้างแรงจูงใจ ความผูกพัน และความภักดีในระยะยาว
เทคนิคการออกแบบสวัสดิการให้ “ตรงใจ” มากกว่า “ตามมาตรฐาน”
-
ฟังเสียงพนักงานก่อนออกแบบสวัสดิการ
องค์กรชั้นนำเริ่มต้นด้วยการสำรวจความต้องการของพนักงานผ่านแบบสอบถามพนักงานหรือเวิร์กชอป เช่น ต้องการสิทธิ์ทำงานจากที่บ้านกี่วันต่อสัปดาห์ หรือสนใจสวัสดิการด้านไหนเป็นพิเศษ การเริ่มจากความต้องการจริง จะช่วยให้องค์กรไม่ต้องลงทุนในสิ่งที่ใช้ไม่ได้
-
ดูแลชีวิตพนักงานนอกเหนือจากเวลาทำงาน
เช่น สวัสดิการดูแลสุขภาพจิต (Mental Wellness) โปรแกรมปรึกษาด้านการเงิน สิทธิ์ลางานวันเกิด หรือแม้แต่วันหยุดเพิ่มเพื่อใช้ทำกิจกรรมส่วนตัว เป็นตัวที่ช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าชีวิตเขามีความหมายมากกว่าแค่การทำงาน
-
ให้สิทธิประโยชน์แบบยืดหยุ่น เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์
โมเดล “Flexible Benefits” ที่ให้พนักงานเลือกแพ็กเกจสวัสดิการตามความเหมาะสม เช่น บางคนอาจเลือกประกันสุขภาพ บางคนเลือกค่าศึกษาต่อ หรือบางคนใช้เป็นงบดูแลครอบครัว เป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ความหลากหลายในองค์กรยุคใหม่
-
สร้างความสุขเล็กๆ ในทุกวันทำงาน
พื้นที่ผ่อนคลายในออฟฟิศ มุมกาแฟที่มีเครื่องดื่มดีๆ หรือกิจกรรมสนุกเล็กๆ เช่น กิจกรรมส่งของขวัญแบบสุ่ม หรือวันแต่งตัวธีมพิเศษ เป็นตัวอย่างของ “สิทธิประโยชน์เชิงวัฒนธรรม” ที่ไม่ต้องใช้งบมาก แต่มีพลังทางใจสูง
-
แสดงให้เห็นว่าความสุขของพนักงานคือการลงทุน ไม่ใช่ต้นทุน
สวัสดิการที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้อง “ใส่ใจ” สิ่งที่ทำให้พนักงานยิ้มได้จริงๆ อาจไม่ใช่แค่ตัวเงินหรือของขวัญ แต่คือการที่พวกเขารู้สึกว่า “องค์กรมองเห็นและเข้าใจในสิ่งที่เขาให้คุณค่า” เมื่อองค์กรเริ่มต้นจากความใส่ใจ และออกแบบสิ่งที่ตอบโจทย์ในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ พนักงานก็พร้อมที่จะมอบศักยภาพกลับคืนสู่องค์กรอย่างเต็มที่
3. เปิดโอกาสให้พนักงานเรียนรู้และเติบโตไปกับกิจการของเรา
“เพราะการลงทุนในคน คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดขององค์กร”
ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การเรียนรู้ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ให้ทันเทคโนโลยี หรือเสริมความสามารถด้านนวัตกรรม ทุกอย่างเริ่มจากการเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว มักมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ “ไม่เคยหยุดลงทุนในศักยภาพของคน”เพราะเมื่อพนักงานรู้ว่าเขามีโอกาสพัฒนา เขาจะยิ่งทุ่มเท เติบโต และสร้างผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเทคนิคการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้กับพนักงาน
-
เปลี่ยน “การพัฒนา” ให้เป็นส่วนหนึ่งของงานประจำ
การเรียนรู้ไม่ควรเป็นแค่กิจกรรมเฉพาะเวลา แต่ควรอยู่ในทุกกระบวนการ เช่น มีการจัด Learning Hour รายสัปดาห์ ใช้การรีวิวงานเป็นโอกาสในการสะท้อนบทเรียน หรือมีเวทีแชร์ความรู้ภายในทีมอย่างสม่ำเสมอ
-
เปิดโอกาสให้พนักงานเรียนรู้ในแบบที่เลือกเอง
บางคนเรียนรู้จากวิดีโอ บางคนชอบอ่าน บางคนเรียนรู้ผ่านการทำงานจริง องค์กรสามารถสนับสนุนด้วยงบอบรมรายบุคคล คอร์สออนไลน์แบบเลือกได้ หรือให้เวลา 10–20% ของสัปดาห์เพื่อพัฒนาเรื่องที่สนใจ
-
ผู้นำต้องเป็นต้นแบบของการเรียนรู้
เมื่อผู้บริหารหรือหัวหน้าทีมแสดงให้เห็นว่า “ตนเองก็เรียนรู้ตลอดเวลา” เช่น แชร์หนังสือที่อ่าน แนะนำคอร์สใหม่ หรือเปิดพื้นที่ให้ทีมตั้งคำถามได้อย่างอิสระ จะทำให้พนักงานกล้าพัฒนาและไม่กลัวความล้มเหลว
-
หมุนเวียนบทบาทและโปรเจกต์ให้เป็นโอกาสการเติบโตจริง
ไม่ใช่ทุกการพัฒนาเกิดจากห้องอบรม การเปิดโอกาสให้พนักงานได้ลองบทบาทใหม่ๆ เช่น การเป็นหัวหน้าโปรเจกต์ย่อย การเข้าร่วมเวิร์กชอปข้ามแผนก หรือการไปแลกเปลี่ยนกับบริษัทอื่นในโครงการพิเศษ ช่วยให้พนักงานเรียนรู้จากการลงมือทำ
-
ออกแบบเส้นทางการเติบโต (Career Path) ที่ชัดเจนและยืดหยุ่น
เมื่อพนักงานเห็นภาพว่าเขาสามารถเติบโตไปในสายงานที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นสายบริหารหรือสายเฉพาะทางถ้ามีโค้ชประกบอย่างจริงจัง จะช่วยสร้างแรงผลักดันในระยะยาวได้
องค์กรเติบโตได้เร็วเท่ากับคนที่อยู่ในนั้น การลงทุนด้านการเรียนรู้ไม่ใช่เพียงการ “อัปสกิล” แต่คือการปลดล็อกศักยภาพของคนในองค์กรให้พร้อมเผชิญทุกการเปลี่ยนแปลง และในวันที่คนในทีมเติบโตพร้อมกันอย่างมีเป้าหมาย องค์กรก็จะไม่เพียงก้าวหน้า แต่ยังแข็งแกร่งจากภายใน
4. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นแรงบันดาลใจและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
ความสามารถในการคิดนอกกรอบ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งที่องค์กรต้องการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ สภาพแวดล้อมการทำงานจึงไม่ใช่แค่เพียงพื้นที่ทำงาน แต่ต้องเป็นสถานที่ที่กระตุ้นความคิด สร้างแรงบันดาลใจ และเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถทดลองหรือแสดงความคิดใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่
เทคนิคการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นความคิด
-
พื้นที่ทำงานที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น
การออกแบบพื้นที่ทำงานที่เปิดโล่ง เช่น การใช้พื้นที่ร่วม หรือมุมที่มีพื้นที่สำหรับการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขาสามารถสื่อสารและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และมีโอกาสเรียนรู้จากกันและกันได้ทุกเมื่อ
-
ส่งเสริมการทำงานร่วมกันข้ามทีม
บางครั้งความคิดที่ดีที่สุดเกิดจากการรวมกันของหลากหลายมุมมอง การจัดโปรเจกต์ข้ามแผนก หรือเวิร์กชอปที่มีพนักงานจากหลายแผนกเข้าร่วม จะช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดและเพิ่มแรงบันดาลใจในมุมมองใหม่ๆ
-
สนับสนุนการทดลองและการล้มเหลว
องค์กรที่สนับสนุนให้พนักงานทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว เป็นองค์กรที่สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดี การสร้าง “Safe Space” สำหรับการทดลองไม่ว่าจะเป็นการลองวิธีการใหม่ๆ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะช่วยให้พนักงานกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
-
สร้างสภาพแวดล้อมที่ให้พนักงานมีเวลาในการคิด
ลองนึกภาพว่า การให้พนักงานมีเวลาคิดเหมือนกับการปลูกต้นไม้ หากเราเร่งรัดให้ต้นไม้เติบโตเร็วๆ มันก็อาจจะไม่แข็งแรง แต่ถ้าเราให้เวลามันเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มันจะเติบโตเต็มที่และแข็งแรงในที่ทำงานก็เช่นกัน การให้พนักงานมีเวลาในการคิด ช่วยให้พวกเขามีโอกาสโฟกัสกับงานที่สำคัญจริงๆ เช่น การจัดเวลาสำหรับ “Deep Work” สิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ได้ดีขึ้น
-
เปิดโอกาสให้พนักงานมีบทบาทในวิสัยทัศน์องค์กร
การทำให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กรอย่างจริงจัง จะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ และกระตุ้นให้พวกเขามีแรงบันดาลใจในการคิดสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถพัฒนาองค์กรไปข้างหน้าได้เมื่อพนักงานได้รับการสนับสนุนในทางบวก พวกเขาจะมีความรู้สึกว่าความคิดมีคุณค่า และพร้อมที่จะแสดงออกอย่างเต็มที่
5. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นแรงบันดาลใจและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
“คุณไม่สามารถสร้างองค์กรที่ยิ่งใหญ่ได้ หากคุณไม่สร้าง ‘คน’ ที่ยิ่งใหญ่ในองค์กรก่อน”
“พนักงาน” คือหัวใจของทุกความสำเร็จ พวกเขาเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าในทุกวัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และความทุ่มเท พนักงานไม่ใช่แค่ “ทรัพยากร” แต่คือ “พลังงาน”
การมองพนักงานเป็นมากกว่าแค่ต้นทุน หรือแค่ “Human Resource” คือจุดเปลี่ยนสำคัญ องค์กรที่มองพนักงานเป็น “พลังงาน” หรือ “แรงขับเคลื่อน” จะไม่เพียงแค่ได้ผลผลิต แต่จะได้ พลังงานทางบวก ความคิดใหม่ๆ และวัฒนธรรมองค์กรที่มีชีวิต
เทคนิคเพิ่มพลังให้พนักงาน ด้วย “3C Strategy”
-
Connect : สื่อสารอย่างมีหัวใจ
การสื่อสารที่ดีคือรากฐานของความเข้าใจ พนักงานที่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และเขามีความหมายต่อองค์กรอย่างไร จะทำงานด้วยแรงขับจากข้างใน ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าที่
-
Cultivate : ปลูกฝังและพัฒนา
การพัฒนาพนักงานไม่ใช่แค่การจัดเทรนนิ่ง แต่คือการสร้าง “วัฒนธรรมแห่งการเติบโต” จัดทำ Personal Growth Plan ที่ร่วมกันกำหนดเป้าหมายการเติบโตของแต่ละคน พร้อมโค้ชประจำทีม
-
Celebrate : ฉลองความสำเร็จเล็กๆ เสมอ
หลายองค์กรอาจรอจนถึงปลายปีถึงจะฉลอง แต่การเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ ทุกเดือน หรือทุกสัปดาห์ จะเติมพลังให้ทีมรู้สึกว่าความพยายามของเขามีความหมาย
บทสรุป
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมผลักดันและเติมเต็มพนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนมีแรงบันดาลใจในการทำงาน สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานยิ้มได้ แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าในองค์กร การเปิดโอกาสให้พนักงานเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรจะทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีอนาคตที่ชัดเจนในที่ทำงาน
นอกจากนี้การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่กระตุ้นความคิดและเป็นแรงบันดาลใจ จะทำให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน และสุดท้าย พนักงานเปรียบเสมือนบุคคลในครอบครัวที่มีความสำคัญช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า หากองค์กรสามารถดูแลและสร้างความผูกพันกับพนักงานได้อย่างแท้จริง ความสำเร็จในระยะยาวย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
ความรักและความผูกพันของพนักงานกับองค์กรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกว่าสำคัญจริงๆ และหากคุณอยากสร้างความสัมพันธ์นี้ในองค์กรของคุณ WorkVenture พร้อมช่วยคุณเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ผ่านเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าใจพนักงานและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้อย่างตรงจุด
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องการบังคับ แต่เป็นการทำให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญและองค์กรใส่ใจในความต้องการของพวกเขา Best Places to Work™ จะช่วยคุณสร้างสิ่งนี้ได้ง่ายขึ้น พร้อมกับผลลัพธ์ที่เห็นได้จริง
เริ่มต้นได้เลยกับ WorkVenture เพื่อสร้างสถานที่ทำงานที่ทุกคนใฝ่ฝัน! สมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Best Places to Work™
About Author

WorkVenture.com เป็นแพลตฟอร์มหางานที่เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับองค์กร และยังเป็นผู้นำทางด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง รวมถึงให้คำปรึกษาให้กับองค์กรชั้นนำของไทย