
| เงินได้ และภาษี มักเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนกังวล โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการเงินและบัญชี การทำความเข้าใจความหมายของเงินได้ รวมถึงการรู้ว่าต้องเสียภาษีจากอะไร ไม่เพียงช่วยให้ยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ยังเป็นพื้นฐานความรู้ที่สามารถต่อยอดไปสู่การวางแผนภาษี เพื่อช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย บทความนี้จะพาไปรู้ว่า ภาษีเงินได้คืออะไร ประเภทของเงินได้ เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นมีอะไรบ้าง รวมถึงการสรุปอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากเข้าใจเรื่องภาษีให้ชัดเจนขึ้น |
เลือกอ่านได้เลย!
Toggleเงินได้ คืออะไร?
“เงินได้” คือ รายรับ แต่เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรียกว่า "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งรวมถึงเงินสด ทรัพย์สิน และประโยชน์ต่างๆ ที่สามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้ เงินภาษีที่มีคนอื่นจ่ายให้แทนและเครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
เงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท มีอะไรบ้าง?
เงินได้พึงประเมินแบ่งออกเป็น 8 ประเภทเพื่อให้การคำนวณภาษียุติธรรมต่อลักษณะอาชีพและรายได้ที่แตกต่างของแต่ละคน ดังนี้:
เงินได้ประเภทที่ 1: เงินจากการจ้างงานที่เป็นประจำ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง
เงินได้ประเภทที่ 2: ค่าจ้างทั่วไป เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า เบี้ยประชุม
เงินได้ประเภทที่ 3: ค่าลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา เช่น Goodwills หรือค่าลิขสิทธิ์หนังสือ
เงินได้ประเภทที่ 4: ดอกเบี้ย เงินปันผล และผลประโยชน์จากการลงทุนต่างๆ
เงินได้ประเภทที่ 5: ค่าเช่าต่างๆ เช่น ค่าเช่าบ้าน ที่ดิน ยานพาหนะ
เงินได้ประเภทที่ 6: เงินจากการทำวิชาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทนาย วิศวะ สถาปนิก บัญชี
เงินได้ประเภทที่ 7: ค่ารับเหมาก่อสร้าง รวมทั้งค่าแรงและค่าวัสดุ
เงินได้ประเภทที่ 8: รายได้อื่นๆ ที่ไม่เข้าพวกในประเภท 1-7 เช่น ธุรกิจหรือการเกษตร เช่น รายได้จากการธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ การขับ Grab หรือการเกษตร
เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี มีอะไรบ้าง?
ไม่ใช่ทุกเงินได้ที่จะต้องเสียภาษี มีเงินได้หลายประเภทที่กรมสรรพากรยกเว้นภาษีให้ ถ้ารู้จักรายการยกเว้นเหล่านี้ จะช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้องและไม่จ่ายภาษีเกินความจำเป็น โดยมีเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ดังนี้
1. หมวดสวัสดิการจากนายจ้าง
- เงินชดเชยกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ, ว่างงาน, ชราภาพ, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, สงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม
- ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเดินทางที่ได้เป็นครั้งคราว
2. หมวดเงินภายในครอบครัว
- เงินที่ให้ตามหน้าที่หรือตามประเพณี ได้แก่
- เงินอั่งเปา สินสอด ของรับขวัญ
- เงินค่าขนม เงินค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ (เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้าน แต่จะขยายเป็น 20 ล้านถ้าได้รับจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส)
- เงินได้จากการให้โดยเสน่หา (ให้เปล่าฝ่ายเดียวโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน - เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้าน แต่จะขยายเป็น 20 ล้านถ้าได้รับจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส)
- รายได้ส่วน 200,000 บาทแรกจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่นอกตัวเมืองซึ่งได้เป็นมรดกหรือมีคนให้มา
- เงินได้ที่รับจากมรดก
3. หมวดเงินรางวัล
- เงินได้จากการขายสลากกินแบ่งของรัฐบาล
- รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล
- รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขันที่ผู้รับไม่ได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน
- รางวัลสินบนนำจับที่ทางราชการจ่ายให้
- รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ เช่น ทุนการศึกษาของหน่วยงานเอกชน
4. หมวดเงินชดเชย
- เงินชดใช้ค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยหรือประกันชีวิต
- บำนาญชราภาพจากกองทุนที่เข้าเกณฑ์
- รายได้ที่คนอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ยกเว้นรายได้ 190,000 แรก
- ยกเว้นบำเหน็จดำรงชีพ ของข้าราชการบำนาญ
5. หมวดการเงิน
- ดอกเบี้ย
- ดอกเบี้ยออมทรัพย์ทุกบัญชีรวมกันตลอดทั้งปีที่ไม่เกิน 20,000 (ต้องอนุญาตให้ธนาคารส่งข้อมูลดอกเบี้ยให้สรรพากร)
- ดอกเบี้ยฝากประจำอย่างน้อย 24 เดือน โดยมียอดไม่เกินเดือนละ 25,000 และรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท
- ดอกเบี้ยฝากประจำธนาคารในไทยตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป โดยมีดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทรวมกัน ตลอดปีไม่เกิน 30,000 (ถ้าเกิน 30,000 ต้องนำดอกเบี้ยไปคำนวณภาษีตั้งแต่บาทแรก เต็มจำนวน)
- กำไรจากการขายสินทรัพย์
- กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
- กำไรจากการขาย cryptocurrency / digital token ผ่าน Exchange / Broker ที่ได้รับอนุญาตจาก กลต. (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 – 31 ธ.ค. 2572)
- เงินปันผล
- เงินปันผลจากกองทุนรวมตราสารหนี้
- เงินปันผลหรือเงินเฉลี่ยคืนที่สมาชิกสหกรณ์ได้รับจากสหกรณ์
เงินได้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่บ้าง?
เงินได้หรือรายรับ ที่ถูกนำมายื่นภาษีในแต่ละอาชีพมักมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ทำให้สรรพากรกำหนดวิธีในการหักค่าใช้จ่ายแยกกันสำหรับเงินได้พึงประเมินในแต่ละประเภท ซึ่งบางประเภทก็มี % กำหนดแน่นอนและการหักตามจริง สามารถดูได้ตามตาราง ดังนี้

อัตราการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 เพิ่มเติม
หากมีเงินได้ทั้งประเภทที่ 1 และ 2 ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน จะหักค่าใช้จ่ายหลังรวมได้ไม่เกิน 100,000 บาท
เมื่อเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว จะต้องยึดปฏิบัติตามวิธีนั้นสำหรับการขายทั้งหมดตลอดทั้งปี และควรเก็บหลักฐานการจ่ายเงินไว้ โดยเฉพาะหากเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง เพราะจะต้องแจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเมื่อยื่นภาษี และสรรพากรอาจขอหลักฐานเพิ่มเติมได้
เงินได้กับนิติบุคคล
สำหรับนิติบุคคล อย่าง บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน เงินได้อาจไม่ใช่ฐานภาษีสำหรับคำนวนภาษีเสมอไปเหมือนกับบุคคลธรรมดา แต่อาจคำนวนจากกำไรสุทธิทางภาษี ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยหรือการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย
นอกจากนี้ เงินได้ของนิติบุคคลที่ถูกนำไปคำนวนต่อในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จะมีอัตราที่ต่างจากบุคคลธรรมดา คือใช้เป็นอัตราคงที่ ไม่เหมือนบุคคลธรรมดาที่เสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งโดยทั่วไปคือ 20% ของกำไรสุทธิทางภาษี แต่ก็มีกรณีของ SME และธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นที่มีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แตกต่างออกไป ธุรกิจทำให้การวางแผนภาษีมีมิติที่หลากหลายกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การเข้าใจความหมายของ เงินได้ และการแบ่งประเภทเงินได้เป็นพื้นฐานที่สำคัญสู่การเข้าใจการคำนวณภาษีเงินได้ ช่วยให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง และไม่ต้องจ่ายเงินมาเกินจำเป็นสำหรับรายการยกเว้น เริ่มทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษีวันละนิด ช่วยสร้างความรู้ทางการเงินในระยะยาว และเหลือเงินเก็บมากขึ้นในแต่ละปี เรียนรู้การคำนวนภาษีและการบัญชีเพิ่มเติมกับ FlowAccount ได้ในบทความด้านบัญชี
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับเงินได้ก่อนเสียภาษี
1. เงินได้ กับ เงินได้พึงประเมิน ต่างกันอย่างไร?
ตอบ: “เงินได้” สามารถตีความโดยตรงคือ รายรับ (income) ซึ่งหมายถึงเงินที่ได้รับจากทุกช่องทางและทุกประเทศ หลายคนสับคนคำว่า “เงินได้” กับคำว่า “เงินได้พึงประเมิน” ในความจริงแล้ว คำว่าเงินได้พึงประเมินเป็นส่วนนึงของคำว่าเงินได้ เพราะเงินได้พึงประเมินต่างหากที่เป็นจำนวนที่นำมาคิดภาษี แต่เงินได้พึงประเมินมักถูกเรียกย่อๆ ว่าเงินได้จนสร้างความสับสนให้กับผู้เริ่มต้น
พูดง่ายๆ คือ ไม่ใช่ทุกเงินได้ที่จะถูกนำมาคิดภาษี เช่น ขายทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศและไม่ได้นำเงินกลับเข้าในไทยในปีนั้น จะถือว่าเป็นแค่เงินได้ แต่ยังไม่ใช่เงินได้พึงประเมินและไม่โดนนำมาคิดภาษีในปีนั้น
2. เงินได้ทุกประเภทต้องเสียภาษีหรือไม่?
ตอบ: ไม่ใช่เงินได้ทุกประเภทจะต้องเสียภาษี มีเงินได้ที่ยกเว้นภาษีอยู่ ส่วนเงินได้ทั้ง 8 ประเภทจะเสียภาษีไหมยังคงต้องนำมาคำนวนว่าหลังหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนแล้วเกินอยู่รึเปล่า โดยต้องนำเงินได้ทุกประเภทที่มีในปีภาษีมาคำนวนทั้งหมด เรียนรู้การคำนวนภาษีเมื่อมีรายรับหลายช่องทาง ที่นี่
3. ทำไมต้องแบ่งเงินได้ออกเป็น 8 ประเภท
ตอบ: เงินได้แต่ละประเภทมีต้นทุนที่ต้องเสียเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินได้ที่แตกต่างกัน เงินได้บางประเภท เช่น ดอกเบี้ย สรรพากรมองว่าไม่ได้มีต้นทุนสูงเท่าการซื้อขายสินค้าที่มีราคาทุนเมื่อซื้อมาขายไป สรรพากรจึงไม่อนุญาตให้มีการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ประเภทนั้นๆ
4. มีเงินได้พึงประเมินเท่าไหร่ ถึงต้องยื่นภาษี?
ตอบ: เมื่อรวมรายได้ทั้งปีเกิน 120,000 บาท (สำหรับคนโสด) จำเป็นต้องยื่นภาษีให้สรรพากรตรวจสอบ หากรายได้เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนน้อย คุณอาจไม่เสียภาษีเลย หรืออาจขอภาษีคืนได้ถ้าเคยถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้
5. ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ไม่ต้องนำมารวมกับเงินได้พึงประเมินใช่ไหม?
ตอบ: ใช่แล้ว สรรพากรมีตัวเลือกสำหรับการเสียภาษีจากดอกเบี้ย 2 แบบ คือ
- แบบจ่ายแล้วจบ ให้ธนาคารหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ไปเลย ง่ายและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่เสียภาษีในฐานภาษี 15% ขึ้นไป
- แบบนำดอกเบี้ยมารวมในการคำนวนและขอภาษีคืน จะคุ้มค่ากว่าแบบแรกถ้าคุณมีเงินได้ในปีภาษีน้อย หรือหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนได้มากจนเสียภาษีในฐานน้อยกว่า 15%
About Author

ชนิสรา กิจศรีโสภณ: SEO content writer และ IT auditor ผู้กระตือรือร้นในการอัปเดตความรู้ นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจและข้อมูลเชิงลึกพร้อมย่อยให้เข้าใจง่ายเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้อ่าน