สรุปและอัปเดตโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนภาษีปี 2568

Easy E-receipt 2568

ล่าสุดรัฐบาลได้มีการออกมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าหรือบริการในรอบปีภาษี 2568 โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทต่อคน เงื่อนไขในการซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีนี้มีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ

เลือกอ่านได้เลย!

Easy e-Receipt 2.0 คืออะไร?

Easy E-receipt 2.0 คือมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2568 ของทางภาครัฐ โดยประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทต่อคน

easy e-receipt คือ

ใครบ้างที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี “Easy E-Receipt 2.0” ?

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น 

E-Receipt หรือ e-Tax Invoice คืออะไร แตกต่างจากใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีทั่วไปอย่างไร?

e-Receipt หรือ e-Tax Invoice คือใบเสร็จรับเงิน (E-Receipt) หรือใบกำกับภาษี (E- Tax Invoice) ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการจัดทำและลงลายมือชื่อโดยใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ 

อย่างไรก็ตาม ร้านค้าที่จะสามารถออก E-Receipt หรือ E- Tax Invoice ได้ จะต้องผ่านการอนุมัติจากกรมสรรพากรก่อน

FlowAccount ได้เคยเขียนบทความเกี่ยวกับ e-Tax Invoice ไว้แล้ว สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ

ร้านค้าใดบ้างที่เข้าร่วมโครงการ?

สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่ได้รับสิทธิในการออก e-Receipt & e-Tax Invoice by Time Stamp จากกรมสรรพการได้ผ่านทางเว็บไซต์สรรพากร etax.rd.go.th

หรือสังเกตร้านค้าที่มีป้ายสัญลักษณ์

easy e-receipt /  e-Tax Invoice by Timestamp

ซื้ออะไรได้บ้าง? ซื้ออะไรถึงจะได้ลดหย่อน?

สิทธิในการลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

1.1 ซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไป จากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)

1.2 ซื้อหนังสือ, E-Book, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร 

1.3 ซื้อสินค้า OTOP หรือซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจชุมชน

2. หักลดหย่อนได้เพิ่มอีกตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท เฉพาะยอดจากการซื้อสินค้า OTOP หรือซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจชุมชน

หากรวมทั้ง 2 ส่วนจะสามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท

easy e-receipt 2568

กล่าวคือ หากซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไปจะสามารถลดหย่อนได้สูงสุดเพียง 30,000 บาทเท่านั้น หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนสูงสุด 50,000 จะต้องซื้อสินค้าหรือบริการจาก OTOP และวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนเพื่อลดหย่อนเพิ่มเติมอีก 20,000 บาท จีงจะสามารถใช้สิทธิได้ตามอัตราลดหย่อนสูงสุด

สินค้าที่ไม่ได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษี (ไม่เข้าร่วม)

  1. ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ 
  2. ค่าซื้อยาสูบ 
  3. ค่าซื้อน้ำมัน ค่าซื้อก๊าซ และค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับเติมยานพาหนะ 
  4. ค่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และค่าซื้อเรือ 
  5. ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต 
  6. ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลา ระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เช่น ค่าสมาชิกต่าง ๆ 
  7. ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย 
  8. ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว 
  9. ค่าที่พักในโรงแรม 
  10. ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย 
  11. ค่าที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

Easy e-Receipt

ระยะเวลาโครงการ 

ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น

เอกสารหลักฐานสำคัญ

E-Receipt ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Tax Invoice by Time Stampใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์

ข้อมูลที่จำเป็นในการออก E-Receipt และ e-Tax Invoice by Time Stamp

ข้อมูลที่ต้องใช้สำหรับการออก E-Receipt และ e-Tax Invoice ได้แก่

  1. ชื่อและนามสกุล 
  2. ที่อยู่ (ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน หรือ ที่อยู่ปัจจุบัน)
  3. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) 

เมื่อแจ้งข้อมูลส่วนบุคคลถูกต้องครบถ้วนแล้ว ข้อมูลการซื้อสินค้าและการรับบริการจะปรากฏ ใน My Tax Account ของผู้เสียภาษี และสามารถใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2568 ได้

ตัวอย่าง e-Tax Invoice by Timestamp

e-tax invoice by timestamp

การลงทะเบียน e-Tax Invoice by Time Stamp สำหรับร้านค้า

ร้านค้าหรือผู้ประกอบการคนใด ต้องการกระตุ้นยอดขายผ่านโครงการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 สามารถเชื่อมต่อ e-Tax Invoice by Time Stamp กับ FlowAccount เพื่อส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้ลูกค้ารับสิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการของปี 2568 นี้ได้นะคะ 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง e-Tax Invoice by Timestamp

โดยร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมกับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ได้ก็คือร้านค้าที่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม , ผู้ประกอบการ OTOP หรือ ผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าประเภทหนังสือ, E-book, นิตยสาร ซึ่งร้านค้าสามารถปริ๊นต์ QR Code เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลขอใบกำกับภาษีด้วยตนเองได้จากแอป FlowAccount เลยค่ะ

สร้าง QR Code ร้านค้า ให้ลูกค้าสแกนกรอกข้อมูล e-Tax Invoice by TimeStamp

 

ขั้นตอนการส่งอีเมล e-Tax Invoice สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ FlowAccount

สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ FlowAccount สามารถส่ง e-Tax Invoice ได้ง่ายๆ ในไม่กี่ขั้นตอน อ่านวิธีการใช้งาน e-Tax Invoice by Timestampl บน FlowAccount ต่อโดยกดที่ลิงก์ที่แนบไว้ได้เลยค่ะ

ขั้นตอนการส่งอีเมล e-Tax Invoice สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ FlowAccount

 

โครงการดีๆแบบนี้ ถือว่า win ทั้งผู้ประกอบการร้านค้าที่ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้เพิ่มยอดขายสินค้าและบริการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มช่วงต้นปี 2567 และ win ทั้งบุคคลธรรมดาอย่างเราที่นำใบกำกับภาษีมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทในปี 2568 ได้อีกด้วย

บุคคลธรรมดาผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 จะต้องทำการจับจ่ายใช้สอยสินค้าหรือบริการในระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท แบ่งเป็น 30,000 บาทจากการซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไปจากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือจากการซื้อหนังสือ E-Book หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอีก 20,000 บาทจากการซื้อสินค้าหรือบริการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน หรือจะซื้อสินค้า OTOP เต็มจำนวน 50,000 เลยก็ได้ โดยมี e-Receipt หรือ e-Tax Invoice by Time Stamp ที่ออกโดยร้านค้าที่ได้รับการอนุมัติจากกรมสรรพากรเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญ



คำถามที่พบบ่อย (FAQ): โครงการ Easy E-Receipt และการลดหย่อนภาษี


1. โครงการ Easy E-Receipt คืออะไร และใครใช้สิทธิ์ได้บ้าง?

ตอบ: Easy E-Receipt คือมาตรการลดหย่อนภาษีของภาครัฐในปี 2567 ที่อนุญาตให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โดยกำหนดช่วงเวลาใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567

2. ใช้สิทธิ์ลดหย่อน 50,000 บาท หมายความว่าได้เงินคืน 50,000 บาทใช่หรือไม่?

ตอบ: ไม่ใช่ การลดหย่อน 50,000 บาท คือการนำยอดซื้อไปหักออกจาก “เงินได้สุทธิ” ก่อนนำไปคำนวณภาษี ทำให้ฐานภาษีของคุณลดลง จำนวนเงินภาษีที่ประหยัดได้จริงจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่คุณต้องเสีย เช่น หากคุณเสียภาษีในอัตรา 20% เมื่อใช้สิทธิ์เต็มจำนวน 50,000 บาท คุณจะประหยัดภาษีได้ 10,000 บาท (50,000 x 20%)

3. ต้องใช้หลักฐานอะไรในการยื่นลดหย่อนภาษี และแตกต่างจากปีก่อนๆ อย่างไร?

ตอบ: หลักฐานสำคัญคือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น ซึ่งเป็นจุดแตกต่างสำคัญจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ในปีก่อนๆ ที่ยังสามารถใช้ใบกำกับภาษีแบบกระดาษได้ (ยกเว้นสินค้าประเภทหนังสือ, e-Book และ OTOP ที่ยังสามารถใช้ใบเสร็จรับเงินแบบกระดาษได้)

4. ตอนซื้อสินค้า ต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับสิทธิ์ Easy E-Receipt?

ตอบ: เมื่อชำระเงิน คุณต้องแจ้งผู้ขายว่าต้องการรับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี พร้อมทั้งให้ข้อมูล “ชื่อ-นามสกุล” และ “เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก” ของคุณแก่ร้านค้า เพื่อให้ร้านค้าออกเอกสารและนำส่งข้อมูลเข้าระบบของกรมสรรพากรได้อย่างถูกต้อง โดยข้อมูลจะถูกดึงไปแสดงในระบบยื่นภาษีออนไลน์โดยอัตโนมัติ

5. จะรู้ได้อย่างไรว่าร้านค้าไหนสามารถออก e-Tax Invoice ได้?

ตอบ: ผู้ซื้อสามารถสังเกตสัญลักษณ์ “Easy E-Receipt” ที่หน้าร้านค้า หรือสอบถามกับพนักงานโดยตรงก่อนชำระเงิน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ


About Author

รับวันใช้งานฟรี 30 วัน
เมื่อสมัครทดลองใช้ FlowAccount วันนี้
สมัครเลย

บทความที่คุณน่าจะสนใจ