
| ในทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ทั้งรายการขาย รายการซื้อ การรับเงิน การจ่ายเงิน หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งรายการเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทอย่างเป็นระบบ และ “งบทดลอง” จะเป็นรายงานที่ช่วยรวบรวมยอดคงเหลือจากบัญชีเหล่านั้น เพื่อแสดงผลลัพธ์ทางบัญชีที่ถูกต้อง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง |
งบทดลอง จึงเป็นรายงานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชี ช่วยให้เห็นภาพรวมของทรัพย์สิน หนี้สิน และส่วนของเจ้าของก่อนเข้าสู่การจัดทำงบการเงินประจำงวด หากงบทดลองมีความถูกต้อง ย่อมช่วยให้กระบวนการปิดบัญชีเป็นไปอย่างราบรื่นและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้
เลือกอ่านได้เลย!
Toggleงบทดลอง คืออะไร ?
งบทดลอง (Trial Balance) คือ รายงานบัญชีที่แสดงยอดคงเหลือของบัญชีทุกบัญชี ณ วันใดวันหนึ่ง โดยสรุปผลแยกเป็นฝั่ง เดบิต (Debit) และ เครดิต (Credit) ตามระบบบัญชีคู่ (Double Entry System) ซึ่งผลรวมของยอดเดบิตจะต้องเท่ากับยอดเครดิตเสมอ หากยอดไม่เท่ากัน แปลว่าอาจมีข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
ถ้าผลรวมของเดบิต เครดิต ไม่เท่ากัน หมายความว่ามีความผิดพลาดในการบันทึกบัญชี เช่น บันทึกตกหล่น บันทึกซ้ำ หรือบันทึกผิดบัญชี ดังนั้น งบทดลองจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องก่อนปิดงบการเงิน
งบทดลอง มีความสำคัญกับการทำบัญชีอย่างไร ?
งบทดลอง มีบทบาทสำคัญในการช่วยตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชีในแต่ละงวด หากงบทดลองมีความถูกต้อง จะช่วยให้ขั้นตอนการปิดงบและจัดทำงบการเงินเป็นไปอย่างราบรื่น และลดโอกาสเกิดความผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อการยื่นงบการเงินต่อหน่วยงานภายนอกหรือการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของธุรกิจได้
สรุปความสำคัญของงบทดลอง ได้แก่
- ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชี
- ช่วยให้พบความผิดปกติได้ทันที เช่น เดบิตและเครดิตไม่เท่ากัน หรือบันทึกบัญชีผิดหมวด
- เป็นข้อมูลตั้งต้นในการจัดทำงบการเงิน
- หากงบทดลองถูกต้อง ก็สามารถนำไปต่อยอดเป็นงบกำไรขาดทุน และงบแสดงฐานะการเงินได้อย่างถูกต้อง
- ช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลการเงินได้เป็นระบบ
- ทั้งนักบัญชี เจ้าของกิจการ และผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลงบทดลองเพื่อประเมินสถานะการเงินของธุรกิจได้อย่างมั่นใจ
งบทดลอง มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ? รู้จักแต่ละประเภทของงบทดลอง
ก่อนจะเข้าสู่การจัดทำงบการเงิน ธุรกิจจะต้องผ่านการตรวจสอบยอดบัญชีหลายครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเลขทั้งหมดถูกต้อง งบทดลองจึงถูกจัดทำในแต่ละช่วงขั้นตอนของการปิดบัญชี ส่งผลให้มี “งบทดลองหลายประเภท” โดยแต่ละประเภทก็มีบทบาทต่างกันดังนี้
งบทดลองก่อนปรับปรุง
งบทดลองก่อนปรับปรุง คือ งบทดลองที่จัดทำขึ้นก่อนการบันทึกรายการปรับปรุงบัญชี ในงวดนั้น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย รายได้ค้างรับ หรือค่าเสื่อมราคา งบทดลองรูปแบบนี้ช่วยให้เห็นข้อมูลบัญชี ตามที่บันทึกไว้จริงจากรายการซื้อ - ขาย - จ่าย - รับ ในช่วงระหว่างงวด โดยยังไม่ได้สะท้อนรายการที่ควรรับรู้ตามเกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) อย่างครบถ้วน
ดังนั้น งบทดลองก่อนปรับปรุงจึงเหมาะสำหรับใช้ ตรวจสอบความถูกต้องขั้นต้น ว่าการบันทึกบัญชีในรอบงวดเป็นไปตามหลักบัญชีคู่หรือไม่
งบทดลองหลังปรับปรุง
งบทดลองหลังปรับปรุง คือ งบทดลองที่จัดทำขึ้นหลังจากบันทึกรายการปรับปรุงบัญชีเรียบร้อยแล้ว เช่น
- บันทึกค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
- บันทึกรายได้ค้างรับ
- ตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์
- ปรับปรุงยอดต่าง ๆ ให้สะท้อนความเป็นจริงของธุรกิจ
งบทดลองประเภทนี้จึงเป็นรายงานที่ สะท้อนผลการดำเนินงานของธุรกิจได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด และเป็นข้อมูลที่ใช้ในการจัดทำ งบฐานะการเงิน และ งบกำไรขาดทุน
งบทดลองหลังปิดบัญชี
งบทดลองหลังปิดบัญชี คือ งบทดลองที่จัดทำขึ้นหลังปิดบันทึกบัญชีสิ้นงวด (เช่น สิ้นเดือน หรือสิ้นปี) และได้ทำการปิดบัญชีรายได้ - ค่าใช้จ่าย โอนเข้าไปเป็น กำไรสะสม เรียบร้อยแล้ว รายงานนี้จะเหลือเฉพาะบัญชีที่เป็น งบฐานะการเงิน ได้แก่
- สินทรัพย์
- หนี้สิน
- ทุน
จุดประสงค์ของงบทดลองหลังปิดบัญชี คือ เพื่อยืนยันว่ายอดคงเหลือทั้งหมดพร้อมสำหรับ เริ่มต้นงวดใหม่อย่างถูกต้องและเป็นระบบ
ส่วนประกอบของงบทดลอง มีอะไรบ้าง ?
งบทดลองที่ดีและสมบูรณ์จะต้องแสดงข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความเท่ากันของยอดเดบิตและเครดิตในบัญชีแยกประเภท ก่อนนำไปจัดทำงบการเงินในลำดับถัดไป ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ต้องปรากฏในงบทดลอง มีรายละเอียดดังตารางนี้
| ส่วนประกอบ | รายละเอียด |
| ชื่อกิจการ | ชื่อบริษัทหรือชื่อผู้ประกอบการ |
| ชื่อรายงาน | งบทดลอง (Trial balance) |
| วันที่จัดทำงบทดลอง | มักระบุเป็นวันสิ้นเดือนหรือวันสิ้นรอบบัญชี เช่น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 |
| เลขที่บัญชี | ตามการแยกหมวดบัญชีทั้ง 5 หมวดเช่นกัน (การระบุเลขที่บัญชีจะช่วยให้การค้นหาบัญชีต่างๆ ในระบบทำได้ง่ายขึ้น) |
| ชื่อบัญชี | เช่น เงินสด, ลูกหนี้, เจ้าหนี้, รายได้, ค่าใช้จ่าย |
| ยอดเดบิต | ยอดคงเหลือทางด้านเดบิตของแต่ละบัญชี |
| ยอดเครดิต | ยอดคงเหลือทางด้านเครดิตของแต่ละบัญชี |
| ยอดรวมฝั่งเดบิต | ผลรวมฝั่งเดบิตของทุกบัญชี |
| ยอดรวมฝั่งเครดิต | ผลรวมฝั่งเครดิตของทุกบัญชี |
ตัวอย่างงบทดลอง มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานและองค์ประกอบต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดู ตัวอย่างงบทดลอง ด้านล่างนี้ ซึ่งเป็นรูปแบบของ ตารางงบทดลอง มาตรฐานที่จะช่วยให้คุณเข้าใจการจัดเรียงข้อมูลเดบิต-เครดิตได้ง่ายขึ้น

วิธีการจัดทำ งบทดลอง มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?
การจัดทำงบทดลองเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องของบัญชี ก่อนจะนำไปสู่การปิดงบและจัดทำงบการเงินประจำงวด สามารถทำตามลำดับขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: รวบรวมยอดคงเหลือของบัญชีแยกประเภททุกบัญชี
เริ่มจากตรวจสอบและรวบรวมยอดคงเหลือของแต่ละบัญชีจาก บัญชีแยกประเภท (General Ledger) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการบันทึกบัญชีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การขาย การรับเงิน หรือการจ่ายเงิน รายการเหล่านี้ถูกบันทึกแยกตามชื่อบัญชีเอาไว้แล้ว และมียอดคงเหลือที่ถูกคำนวณไว้ ณ สิ้นงวดบัญชี
ยอดคงเหลือของแต่ละบัญชีจะอยู่ ฝั่งเดบิตหรือเครดิต ขึ้นอยู่กับลักษณะของบัญชีนั้น เช่น
- สินทรัพย์ และ ค่าใช้จ่าย : มักมีคงเหลือในฝั่ง เดบิต
- หนี้สิน ทุน และ รายได้ : มักมีคงเหลือในฝั่ง เครดิต
ขั้นตอนที่ 2: จัดเรียงยอดคงเหลือลงในงบทดลองตามหมวดบัญชี
เมื่อรวบรวมยอดคงเหลือจากบัญชีแยกประเภทเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือการนำยอดเหล่านั้นมาเรียงลำดับใน งบทดลอง โดยจัดเรียงตาม หมวดของบัญชี เพื่อให้เห็นโครงสร้างของงบอย่างชัดเจน และทำให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
ลำดับหมวดบัญชีที่ใช้โดยทั่วไป ได้แก่
- สินทรัพย์ เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ
- หนี้สิน เช่น เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ยืม
- ทุน เช่น เงินลงทุน กำไรสะสม
- รายได้ เช่น รายได้จากการขายหรือบริการ
- ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่า เงินเดือน ค่าสาธารณูปโภค
เมื่อนำบัญชีมาเรียงตามหมวดแล้ว ให้ระบุ ยอดคงเหลือในฝั่งเดบิตหรือเครดิตให้ถูกต้อง ตามลักษณะของบัญชีนั้น โดยใช้ยอดคงเหลือที่ได้จากบัญชีแยกประเภทในขั้นตอนก่อนหน้า
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจทานยอดรวมฝั่งเดบิตและเครดิตให้ตรงกัน
เมื่อจัดเรียงลำดับบัญชีลงในงบทดลองเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อมาคือการรวมยอดฝั่งเดบิตและเครดิตทั้งหมด เพื่อตรวจทานว่ายอดเดบิตและเครดิตตรงกันตามหลักบัญชีคู่ หากยอดรวมของทั้งสองฝั่ง “เท่ากัน” แสดงว่าในภาพรวมการบันทึกบัญชีถูกต้องตามหลักบัญชีคู่
แต่หากยอด “ไม่เท่ากัน” หมายความว่าอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง เช่น
- บันทึกรายการไม่ครบ
- บันทึกซ้ำซ้อน
- สลับด้านเดบิต–เครดิต
- คีย์ตัวเลขผิด
- หรือใช้บัญชีไม่ตรงกับลักษณะรายการ
ในกรณีนี้จำเป็นต้องตรวจสอบย้อนกลับไปยังบัญชีแยกประเภท เพื่อค้นหาจุดที่ผิดพลาดและแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนำงบทดลองไปใช้จัดทำงบการเงิน
ดูงบทดลองได้ตลอดเวลา ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ FlowAccount
งบทดลองไม่ใช่เพียงเอกสารที่ใช้ประกอบการทำบัญชีเท่านั้น แต่เป็นรายงานที่ช่วยให้เห็นภาพรวมด้านการเงินของธุรกิจได้ชัดเจน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญ
ในหลายธุรกิจ การจัดทำงบทดลองแบบใช้ Excel หรือรวมตัวเลขด้วยมืออาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย เช่น บันทึกข้อมูลตกหล่น สลับด้านเดบิต–เครดิต หรือรวมยอดไม่ตรง เมื่อถึงช่วงปิดบัญชีปลายเดือนหรือปลายปี ก็อาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข และอาจทำให้การยื่นงบการเงินล่าช้า
เพื่อลดความยุ่งยากและเพิ่มความถูกต้องในการบันทึกบัญชี ธุรกิจสามารถใช้ โปรแกรมบัญชี FlowAccount ที่ช่วยบันทึกข้อมูลบัญชีให้อัตโนมัติทันทีที่มีการออกเอกสารต่าง ๆ เช่น
- ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ใบวางบิล และ ใบเสร็จรับเงิน
- ใบรับสินค้า
- ใบบันทึกค่าใช้จ่าย
ระบบจะบันทึกข้อมูลลงในผังบัญชีที่ตั้งค่าไว้ได้อย่างถูกต้อง และสรุปออกมาเป็นรายงาน งบทดลอง (Trial Balance) ที่เปิดดูได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องคีย์ตัวเลขเองหรือรวมยอดใหม่
ข้อดีของการทำงบทดลองผ่านโปรแกรมบัญชี FlowAccount
| FlowAccount ช่วยอะไรคุณ | ประโยชน์ที่ผู้ใช้งานได้รับ |
| ตัวเลขอัปเดตแบบเรียลไทม์ | เห็นสถานะบัญชีได้ทันที ไม่ต้องรอสิ้นงวด |
| จัดหมวดบัญชีชัดเจน แยกเดบิต–เครดิต | ตรวจสอบความผิดปกติได้ง่าย |
| เปิดดูย้อนหลังได้ทุกงวด | ติดตามการเปลี่ยนแปลงตัวเลขได้ต่อเนื่อง |
| แชร์ให้ผู้สอบบัญชีดูได้ทันที | ลดขั้นตอนส่งไฟล์และเอกสาร |
| รองรับการทำงานหลายคนพร้อมกัน | เจ้าของกิจการและนักบัญชีเห็นข้อมูลชุดเดียวกัน |

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับงดทดลอง
หลายท่านอาจยังไม่แน่ใจว่าควรอ่านหรือตรวจสอบงบทดลองจากส่วนใดบ้าง เราได้รวบรวมคำถามที่มักเจอบ่อยไว้ด้านล่าง เพื่อช่วยให้มองภาพรวมได้ชัดเจนขึ้นและสามารถนำไปใช้งานได้จริง
งบทดลองต่างจากงบการเงินอย่างไร?
ตอบ : งบทดลอง (Trial Balance) เป็นรายงานที่ใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดทำงบการเงินในลำดับถัดไป
ส่วนงบการเงิน (Financial Statement) เป็นรายงานที่สรุปผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของธุรกิจ โดยนำไปใช้ประกอบการวางแผนบริหารงาน นำเสนอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร นักลงทุน หรือผู้ให้กู้ และใช้สำหรับยื่นงบการเงินต่อหน่วยงานภาครัฐตามที่กฎหมายกำหนด
งบทดลองจำเป็นต้องจัดทำทุกเดือนหรือไม่?
ตอบ : แนะนำให้จัดทำ ทุกเดือน เพื่อช่วยตรวจสอบยอดบัญชีอย่างต่อเนื่อง และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสะสม หากมีความคลาดเคลื่อนจะสามารถตรวจเจอและแก้ไขได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาตรวจย้อนหลังนานในช่วงปิดงบปลายปี ทำให้การปิดงบและยื่นภาษีเป็นขั้นตอนที่ราบรื่นและใช้เวลาลดลง
ทำงบทดลองด้วย Excel ได้ไหม?
ตอบ : สามารถทำงบทดลองด้วย Excel ได้ อย่างไรก็ตามการจัดทำด้วย Excel จำเป็นต้องอาศัยความละเอียดและความเข้าใจหลักบัญชีคู่พอสมควร เนื่องจากมีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนได้ง่าย เช่น การรวมยอดผิด การคีย์ข้อมูลซ้ำ หรือการสลับฝั่งเดบิต-เครดิตโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้ยอดรวมไม่ตรง และต้องใช้เวลาในการตรวจสอบแก้ไขย้อนหลัง
แต่ถ้าหากต้องการลดความผิดพลาดและช่วยประหยัดเวลาในช่วงปิดงบแนะนำให้ใช้ โปรแกรมบัญชี ที่สามารถบันทึกและสรุปงบทดลองให้อัตโนมัติ โดยดึงข้อมูลจากเอกสารในระบบที่บันทึกไว้แล้ว ทำให้สามารถตรวจสอบยอดได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วอย่าง FlowAccount
และสำหรับธุรกิจที่มีรายการจำนวนมาก หรือยังไม่มีผู้ดูแลบัญชีโดยเฉพาะ การ หาสำนักงานบัญชี ที่มีประสบการณ์มาช่วยตรวจสอบและดูแลงานบัญชีอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้การปิดงบและจัดทำงบการเงินเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
ใครบ้างที่ควรต้องดูงบทดลอง?
ตอบ : โดยทั่วไป “นักบัญชี” จะเป็นผู้จัดทำและตรวจสอบงบทดลองเป็นประจำ แต่ไม่ได้จำกัดเฉพาะสายบัญชีเท่านั้น เพราะงบทดลอง (Trial Balance) เป็นข้อมูลที่สะท้อนภาพรวมการเงินของธุรกิจ จึงเป็นรายงานที่ “เจ้าของกิจการ” และ “ผู้บริหาร” ควรดูอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อใช้ในการประกอบการวางแผนและตัดสิน
ในช่วงปิดงบประจำปี ผู้สอบบัญชี ก็จะใช้รายงานงบทดลองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนเข้าสู่การตรวจสอบงบการเงินให้ถูกต้องตามมาตรฐาน
สรุปผู้ที่ควรดูงบทดลอง ได้แก่:
- นักบัญชี : ตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชี
- เจ้าของกิจการ / ผู้บริหาร : ใช้ประเมินภาพรวมการเงินของธุรกิจ เพื่อช่วยวางแผนและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
- ผู้สอบบัญชี : ใช้ในการตรวจสอบงบการเงินให้ถูกต้องตามมาตรฐาน
กล่าวง่าย ๆ คือ งบทดลองไม่ได้เป็นเพียงเอกสารบัญชี แต่เป็น “รายงานภาพรวมทางการเงิน” ที่ทุกฝ่ายในธุรกิจควรให้ความสำคัญ
About Author

Senior Marketer – Inbound / CRO ที่มีพื้นฐานประสบการณ์จากสายสื่อสารมวลชน ยังคงรักในการสัมภาษณ์และอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ หากมีอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับ FlowAccount จะรีบนำมาเล่าให้ทุกคนได้รู้ไปพร้อมๆ กันค่ะ