หลายคนที่เปิดร้านค้าใหม่ หรือแม้กระทั่งเจ้าของร้านที่มีป้ายอยู่แล้วอาจยังไม่รู้เลยว่าพวกเรามีหน้าที่เสียภาษีป้ายด้วยนะ! เอ..แล้วเจ้า “ภาษีป้าย” คืออะไร? ป้ายแบบไหนต้องเสียภาษีบ้าง และมีวิธีการคำนวณอย่างไร รวมไปถึงเราจะต้องไปจ่ายภาษีป้ายเมื่อไรกันนะ ทุกคนก็น่าจะกำลังมีคำถามพรั่งพรูเข้ามาในหัว ใช่ไหมคะ
บทความนี้จะมาช่วยไขข้อสงสัยให้ทุกคนเข้าใจถึงเรื่องภาษีป้ายตั้งแต่ความหมาย วิธีคำนวณ และช่วงเวลาที่ต้องไปเสียภาษี รวมไปถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจคนไหนที่ไม่อยากเสียค่าปรับเพราะเรื่องภาษีป้ายนี้ล่ะก็ ต้องอ่านเลยค่ะ
ภาษีป้าย คืออะไร
ภาษีป้าย คือ ภาษีที่ร้านค้าหรือสถานประกอบการต่าง ๆ ต้องชำระให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เมื่อมีการติดตั้งป้ายที่มีข้อความหรือรูปภาพที่แสดงถึงชื่อกิจการทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เพื่อหารายได้ หรือโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้น ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ป้ายเหล่านี้อาจจะติดตั้งอยู่บนตัวอาคาร ด้านหน้าร้าน หรือแม้กระทั่งป้ายที่ติดอยู่ตามพื้นที่สาธารณะ เช่น ป้ายบิลบอร์ดบนทางด่วน หรือป้ายไฟโฆษณาต่าง ๆ เป็นต้น
ข้อสังเกตุ:
ภาษีป้ายต่างกับภาษีธุรกิจตัวอื่นตรงที่ หน่วยงานที่จัดเก็บเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ใช่พี่สรรพากรนะคะ อย่าเข้าใจผิดเชียวล่ะ
อัตราภาษีป้ายร้านค้ามีกี่ประเภท?
อัตราภาษีป้ายจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของป้าย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกันค่ะ ได้แก่

ป้ายประเภทที่ 1
ป้ายประเภทนี้เป็นป้ายที่มีตัวอักษรไทยล้วน ไม่มีชื่อภาษาต่างประเทศปรากฏอยู่เลย
- ป้ายที่เป็นภาพนิ่ง ไม่เปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพ อัตราภาษีอยู่ที่ 5 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- ป้ายที่มีการเคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 10 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

ป้ายประเภทที่ 2
ป้ายประเภทนี้เป็นป้ายที่มีตัวอักษรไทยปนกับตัวอักษรภาษาต่างประเทศ รวมตัวเลขอารบิกด้วยเช่นกัน
- ป้ายที่เป็นภาพนิ่ง ไม่เปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพ อัตราภาษีอยู่ที่ 26 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- ป้ายที่มีการเคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร

ป้ายประเภทที่ 3
ป้ายประเภทสุดท้าย เป็นป้ายที่ไม่มีตัวอักษรไทยเลย มีแต่ตัวอักษรภาษาต่างประเทศ หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ มีตัวอักษรภาษาไทยอยู่ใต้ภาษาต่างประเทศเล็ก ๆ
- ป้ายที่เป็นภาพนิ่ง ไม่เปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพ อัตราภาษีอยู่ที่ 50 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- ป้ายที่มีการเคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนลักษณะตัวอักษรหรือภาพได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
ดังนั้น ใครที่กำลังออกแบบป้ายร้านค้า อย่าลืมคำนึงถึงประเภท และขนาดของป้ายด้วยนะ เพราะจะส่งผลต่อจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายค่ะ โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าเป็นตัวอักษรไทยล้วน ป้ายขนาดเล็ก และเป็นภาพนิ่ง อัตราภาษีจะต่ำกว่านั่นเองจ้า
เมื่อรู้แล้วว่าลักษณะของป้ายนั้นจัดอยู่ในประเภทไหน จะเข้าสู่วิธีการคำนวณภาษีป้ายกันต่อค่ะ
วิธีการคำนวณภาษีป้าย
สำหรับวิธีการคำนวณภาษีป้ายนั้น ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ หากเข้าใจหลักการด้านบนที่เล่ามา ก็จะสามารถคำนวณและชำระภาษีได้อย่างถูกต้อง ในการคำนวณภาษีป้ายนั้น เราจะใช้สูตรคำนวณ ดังต่อไปนี้

อันดับแรกเริ่มจากการวัดขนาดป้ายของร้านเราก่อนเป็นหน่วยเซนติเมตร สำหรับป้ายที่มีขอบเขตชัดเจน ให้นำส่วนที่กว้างที่สุดคูณส่วนที่ยาวที่สุด
ส่วนป้ายที่ไม่ได้มีขอบเขตชัดเจน เช่น เขียนชื่อร้านบนผนัง กำแพง หรือผ้า ให้วัดจากตัวอักษรที่อยู่ริมสุดจากซ้ายไปขวาเป็นส่วนยาว ส่วนระยะขอบที่อยู่ขอบบนและล่างเป็นส่วนกว้าง แล้วนำความกว้างและความยาวที่ได้ มาคูณกันเพื่อหาพื้นที่ป้าย
จากนั้นนำพื้นที่ป้ายมาหารด้วย 500 เพื่อหาอัตราหน่วยของภาษี แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปคูณกับอัตราภาษีตามประเภทของป้ายที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะได้ยอดภาษีป้ายที่ถูกต้องแล้วค่ะ
ตัวอย่างเช่น

เสียภาษีป้ายร้านค้าต้องทำเมื่อไร
ติดตั้งครั้งแรก: เสียภายใน 15 วันนับจากติดตั้ง
ในปีถัด ๆ ไป: เสียได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม
โดยสามารถติดต่อชำระภาษีป้ายได้ที่สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ที่ร้านค้าตั้งอยู่ โดยให้ยื่นแบบ ภ.ป.1 และเข้าไปชำระภาษีได้เลย หากชำระเกินเวลาที่กำหนดอาจมีค่าปรับเพิ่มเติมได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องระวังและเตรียมตัวล่วงหน้าไว้ให้ดีด้วยนะคะ
ข้อควรระวัง
- การยื่นแบบล่าช้า: หากไม่ยื่นแบบภายในกำหนด จะถูกปรับร้อยละ 10 ของค่าภาษีที่ต้องชำระ
- การชำระภาษีล่าช้า: หากไม่ชำระภาษีภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการประเมิน จะถูกคิดเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือนของค่าภาษีที่ค้างชำระ
- การเปลี่ยนแปลงป้าย: หากมีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือเนื้อหาของป้าย ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน เพื่อปรับปรุงการประเมินภาษีให้ถูกต้อง
ป้ายแบบไหนบ้างที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี?
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าไม่ใช่ทุกป้ายที่ต้องเสียภาษี ตามกฎกระทรวงได้มีการกำหนดประเภทของป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นป้ายที่ไม่ได้ใช้เพื่อการค้าหรือหารายได้โดยตรง ลองตรวจสอบดูว่าป้ายของคุณเข้าข่ายตามนี้หรือไม่
- ป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคาร : ป้ายที่ติดตั้งอยู่ภายในอาคารหรือที่ร่ม และไม่ได้เปิดให้คนภายนอกเห็นโดยตรง
- ป้ายที่มีล้อเลื่อน : เฉพาะป้ายที่ไม่ได้มีการติดตั้งถาวร และมีการเก็บเข้า-ออกเป็นประจำ
- ป้ายที่จัดขึ้นเพื่องานชั่วคราว : เช่น ป้ายงานแฟร์ งานแสดงสินค้า ที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว
- ป้ายของหน่วยงานราชการ : ป้ายที่แสดงไว้ ณ ที่ทำการของหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ
- ป้ายของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา : ป้ายที่แสดงไว้ในบริเวณโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อประชาสัมพันธ์กิจการของสถาบัน
- ป้ายของวัด สมาคม หรือมูลนิธิ : ป้ายที่แสดงเพื่อกิจการขององค์กรทางศาสนา การกุศลสาธารณะ
- ป้ายของผู้ประกอบการเกษตร : ที่จำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรอันเกิดจากการทำเกษตรของตนเอง
ใครคือผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย?
แม้ว่าโดยทั่วไป “เจ้าของป้าย” จะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการชำระภาษีป้าย แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดลำดับของผู้มีหน้าที่เสียภาษีไว้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันกรณีที่ไม่สามารถหาตัวเจ้าของป้ายได้ โดยมีลำดับความรับผิดชอบดังนี้
- เจ้าของป้าย: ถือเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโดยตรงเป็นลำดับแรก
- ผู้ครอบครองป้าย: ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าของป้าย หรือหาตัวเจ้าของป้ายไม่พบ ให้ผู้ครอบครองป้ายเป็นผู้เสียภาษีแทน
- เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร/ที่ดิน: หากไม่สามารถหาตัวทั้งเจ้าของและผู้ครอบครองป้ายได้ ให้ถือว่าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือที่ดินที่ป้ายนั้นติดตั้งอยู่ เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีในลำดับสุดท้าย
ขั้นตอนการยื่นภาษีและเอกสารที่ต้องใช้
เพื่อให้การยื่นภาษีป้ายเป็นไปอย่างราบรื่น การเตรียมตัวและเอกสารให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ช่วงเวลาการยื่นภาษี
- สำหรับป้ายใหม่: ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. 1) ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ติดตั้งป้าย หรือวันที่เริ่มแสดงป้าย
- สำหรับป้ายเก่า (รายปี): ต้องยื่นแบบ ภ.ป. 1 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคมของทุกปี
- เอกสารที่ต้องเตรียม
โดยเอกสารที่ใช้สำหรับบุคคลธรรมดา ในการยื่นภาษีป้ายมีดังนี้ :
- แบบฟอร์ม ภ.ป. 1 (ขอรับได้ที่หน่วยงานรับยื่นภาษี)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน
- รูปถ่ายของป้าย พร้อมระบุขนาดความกว้าง x ความยาว (เป็นเซนติเมตร)
- ใบอนุญาตติดตั้งป้าย หรือหลักฐานที่แสดงค่าใช้จ่ายในการทำป้าย
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีให้ผู้อื่นดำเนินการแทน) พร้อมติดอากรแสตมป์
และเอกสารที่ใช้สำหรับนิติบุคคล ในการยื่นภาษีป้ายมีดังนี้ :
- เอกสารเหมือนบุคคลธรรมดา
- เพิ่มเติม หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (ฉบับล่าสุด)
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
บทลงโทษและค่าปรับหากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของภาษีป้าย
การละเลยหน้าที่ในการเสียภาษีป้าย มีบทลงโทษตามกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มมากกว่าค่าภาษีที่ควรจะเป็น
- กรณีไม่ยื่นแบบ (ภ.ป. 1) ภายในเวลาที่กำหนด: ต้องเสียเงินเพิ่ม 10% ของจำนวนเงินค่าภาษี
- ยื่นแบบแล้ว แต่ไม่ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด: ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตรา 2% ต่อเดือนของค่าภาษีที่ค้างชำระ (เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน)
- จงใจแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี: ต้องเสียเงินเพิ่ม 1% ต่อเดือนของค่าภาษีที่ประเมินเพิ่มเติม
- ไม่แจ้งการรับโอนป้าย หรือไม่แสดงรายการภาษีป้ายไว้ ณ ที่เปิดเผย: มีโทษปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 บาท