คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Easy E-Receipt 2.0
1. โครงการ Easy E-Receipt คืออะไร และใครใช้สิทธิ์ได้บ้าง?
ตอบ: Easy E-Receipt คือมาตรการลดหย่อนภาษีของภาครัฐในปี 2567 ที่อนุญาตให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โดยกำหนดช่วงเวลาใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567
2. ใช้สิทธิ์ลดหย่อน 50,000 บาท หมายความว่าได้เงินคืน 50,000 บาทใช่หรือไม่?
ตอบ: ไม่ใช่ การลดหย่อน 50,000 บาท คือการนำยอดซื้อไปหักออกจาก “เงินได้สุทธิ” ก่อนนำไปคำนวณภาษี ทำให้ฐานภาษีของคุณลดลง จำนวนเงินภาษีที่ประหยัดได้จริงจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่คุณต้องเสีย เช่น หากคุณเสียภาษีในอัตรา 20% เมื่อใช้สิทธิ์เต็มจำนวน 50,000 บาท คุณจะประหยัดภาษีได้ 10,000 บาท (50,000 x 20%)
3. ต้องใช้หลักฐานอะไรในการยื่นลดหย่อนภาษี และแตกต่างจากปีก่อน ๆ อย่างไร?
ตอบ: หลักฐานสำคัญคือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น ซึ่งเป็นจุดแตกต่างสำคัญจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ในปีก่อนๆ ที่ยังสามารถใช้ใบกำกับภาษีแบบกระดาษได้ (ยกเว้นสินค้าประเภทหนังสือ, e-Book และ OTOP ที่ยังสามารถใช้ใบเสร็จรับเงินแบบกระดาษได้)
4. ตอนซื้อสินค้า ต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับสิทธิ์ Easy E-Receipt?
ตอบ: เมื่อชำระเงิน คุณต้องแจ้งผู้ขายว่าต้องการรับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี พร้อมทั้งให้ข้อมูล “ชื่อ-นามสกุล” และ “เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก” ของคุณแก่ร้านค้า เพื่อให้ร้านค้าออกเอกสารและนำส่งข้อมูลเข้าระบบของกรมสรรพากรได้อย่างถูกต้อง โดยข้อมูลจะถูกดึงไปแสดงในระบบยื่นภาษีออนไลน์โดยอัตโนมัติ
5. จะรู้ได้อย่างไรว่าร้านค้าไหนสามารถออก e-Tax Invoice ได้?
ตอบ: ผู้ซื้อสามารถสังเกตสัญลักษณ์ “Easy E-Receipt” ที่หน้าร้านค้า หรือสอบถามกับพนักงานโดยตรงก่อนชำระเงิน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ








